พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2023 พร้อมด้วยคำอธิบายจาก นิคกี้และพิพพา กัมเบลSample

ว้าว!
จูดาห์ สมิธ เป็นศิษยาภิบาลหนุ่มผู้เบิกบานในคณะเพนเทคอสต์จากเมืองซีแอทเทิล รัฐวอชิงตัน เขาเป็นหนึ่งในคนที่สื่อสารได้ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยฟังมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนหนุ่มสาว เมื่อฟังคนอื่นพูด คำอุทานที่เขามักใช้คือ ‘ว้าว’ สำหรับเขามันคือการแสดงออกถึงความยำเกรง เกรงขาม และเคารพ มีพระพรมากมายในการอาศัยอยู่ในยุโรปตะวันตกในศตวรรษที่ 21 อย่างไรก็ตาม เราอาศัยอยู่ในสังคมที่ความยำเกรง เกรงขาม และความเคารพ ดูเหมือนไม่มีคุณค่าอย่างที่เคยเป็นมาสุภาษิต 13:20-14:4
ความยำเกรง
วัฒนธรรมการนับถือถูกเน้นย้ำในพระธรรมสุภาษิต เราเห็นตัวอย่างสามอันในพระธรรมตอนนี้:
1. การยำเกรงพระยาห์เวห์
‘ชีวิตที่สัตย์ซื่อแสดงถึงความยำเกรงพระเจ้า’ (14:2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) คำว่า ‘ยำเกรง’ (NIV) เป็นที่เข้าใจได้ดีที่สุดว่าเป็น 'ความเคารพ' การยำเกรงพระเจ้านั้นเป็นจุดเริ่มต้นในการเคารพในความสัมพันธ์อื่น ๆ ทุกด้านของเรา
2. การยำเกรงปัญญา
จงเลือกคนที่คุณจะใช้เวลาด้วยอย่างระมัดระวัง ‘คนที่เดินกับคนมีปัญญาจะกลายเป็นคนมีปัญญา’ (13:20) ‘คำพูดของคนมีปัญญาสร้างความยำเกรง’ (14:3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) สังคมของเรากำลังลดทอนคุณค่าของสติปัญญาที่มาตามอายุ บ่อยครั้งปัญญา (อาจไม่เสมอไป) เกิดขึ้นผ่านประสบการณ์ในชีวิตอันยืนยาว มีปัญญาจำนวนมหาศาลที่อยู่ในผู้สูงวัยที่ยังไม่ได้นำออกมา
3. การยำเกรงในครัวเรือน
'คนที่ปฏิเสธจะทำการแก้ไขก็ปฏิเสธที่จะรัก จงรักลูกของตนด้วยการลงวินัยเขา’ (13:24, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) คำสอนนี้บางครั้งก็กลายเป็นการทารุณไปด้วยการตีความเกินตัวอักษร สิ่งที่พระธรรมสุภาษิตหนุนใจเราคือวัฒนธรรมแห่งความเคารพยำเกรงกันในครอบครัว คือการเคารพยำเกรงผู้ปกครองและเคารพในตัวลูก ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการลงวินัยด้วยความรัก
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยเราให้เพิ่มพูนปัญญา และเป็นแบบอย่างในชีวิตครอบครัวที่ดี ซึ่งรวมไว้ทั้งความรักและการยำเกรง
ยอห์น 20:10-31
ความน่าเกรงขาม
พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตายจริง ๆ อุโมงค์ฝังศพก็ว่างเปล่าจริง ๆ ในเช้าวันอีสเตอร์ สาวกของพระเยซูก็ได้พบพระองค์ทรงมีชีวิตอีกครั้งจริง ๆ การเป็นขึ้นมาจากความตายเกิดขึ้นจริง คำอธิบายทางประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุดสำหรับต้นกำเนิดความเชื่อคริสเตียนคือเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ พระเยซูทรงพระชนม์ชีพอยู่ในปัจจุบัน!
ยอห์นบันทึกการปรากฏของพระเยซูหลังจากเป็นขึ้นจากความตายสี่ครั้ง สามครั้งแรกอยู่ในพระธรรมตอนนี้ ในการปรากฏตัวเหล่านี้ เราไม่เพียงแต่เห็นหลักฐานบางประการ แต่ยังได้เห็นถึงผลของการเป็นขึ้นจากความตายอีกด้วย
- น่าเกรงขามและน่าทึ่ง มีบางอย่างที่ไม่อาจคาดเดาได้โดยตรงเกี่ยวกับการปรากฏตัวของพระเยซูต่อนางมารีย์ ไม่มีอะไรที่เหมือนกับในวรรณกรรมทั้งหมดในยุคโบราณ
ในวัฒนธรรมยุคนั้น คำพยานของผู้หญิงไม่ได้รับการพิจารณาว่ามีน้ำหนักเท่ากับของผู้ชาย หากพวกสาวกปั้นเรื่องขึ้นมา พวกเขาคงไม่คิดว่าการปรากฏตัวครั้งแรกจะเป็นมารีย์ มักดาลา
พระเยซูทรงไม่ได้ปรากฏตัวในแบบผู้มีชัยเพื่อแสดงถึงชัยชนะของพระองค์ พระองค์ทรงปรากฏต่อมารีย์ ผู้ที่พระองค์ทรงรัก ผู้ที่ทรงให้อภัย ตามลำพังในสวน ด้วยความรักอันอ่อนโยน
นี่แสดงให้เห็นถึงการให้เกียรติอย่างยิ่งของพระเยซูต่อพวกผู้หญิง โดยการกระทำนี้และการกระทำอื่น ๆ ในขณะที่พระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ พระองค์ทรงวางรากเรื่องการปฏิวัติต่อท่าทีที่โลกมีต่อผู้หญิง น่าเศร้าที่ต้องใช้เวลาถึง 2,000 ปีและเราก็ยังไปไม่ถึงจุดนั้น
พระเยซูไม่ได้ตรัสถามมารีย์ว่าเธอแสวงหาอะไร พระองค์ทรงถามว่า ‘ตามหาใคร’ (ข้อ 15)
คำตอบของมารีย์เป็นหนึ่งในสิ่งที่น่าเกรงขามและน่าทึ่ง เมื่อเธอตระหนักว่านี่คือพระเยซู เธอร้องออกมาในภาษาอาราเมคว่า ‘“รับโบนี!” (ซึ่งแปลว่าท่านอาจารย์)’ (ข้อ 16)
พระองค์ทรงอธิบายกับเธอว่า เธอต้องไม่หน่วงเหนี่ยวพระองค์ไว้ (ข้อ 17) เธอต้องเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ อันเป็นชีวิตภายในที่จำเริญขึ้นกับพระเยซูผู้ทรงเป็นขึ้น พระองค์ทรงอยู่ในเธอ และเธออยู่ในพระองค์ (ซึ่งสำเร็จเป็นจริงด้วยของประทานแห่งองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์)
การแค่รู้จักหลักฐานแห่งความจริงของเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายนั้นไม่เพียงพอ เราจำเป็นต้องมีประสบการณ์ส่วนตัวในการเผชิญหน้ากับพระเยซูผู้ทรงเป็นขึ้น
- ความชื่นชมยินดีและสันติสุข โลกนี้แสวงหาความสุขและสันติสุขในจิตใจอย่างสิ้นหวัง แหล่งที่มาสูงสุดของความสุขและสันติสุขคือการมีความสัมพันธ์กับพระเยซู
มารีย์รีบรุดไปเล่าให้พวกสาวกฟัง ‘ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว!’ (ข้อ 18) การปรากฏของพระเยซูต่อเหล่าสาวกนำความชื่นชมยินดีอย่างยิ่งมาถึงพวกเขา (ข้อ 20) พระองค์ตรัสกับพวกเขาถึงสามครั้งว่า 'สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย!' (ข้อ 19,21,26) สันติสุขภายในได้ไหลล้นจากการทรงสถิตของพระองค์
ความเชื่อในพระเยซูนำเอาความชื่นชมยินดีและสันติสุขมายังผู้เชื่อทุกคน พระเยซูตรัสกับโธมัสว่า ‘คนที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็ได้รับพระพร และเป็นสุข และน่าอิจฉา’ (ข้อ 29 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
ในการเผชิญหน้ากันสั้น ๆ นี้ พระเยซูทรงเปลี่ยนแปลงกลุ่มคนที่กำลังหวาดหวั่นสับสนไปเป็นชุมชนแห่งความรัก ความชื่นชมยินดีและสันติสุข
- พระประสงค์และฤทธิ์เดช
พระเยซูทรงประทานวัตถุประสงค์ใหม่ให้แก่พวกเขา ‘พระบิดาทรงใช้เรามาอย่างไร เราก็ใช้พวกท่านไปอย่างนั้น’ (ข้อ 21) การเป็นขึ้นจากความตายเป็นถ้อยคำแห่งความหวังสำหรับโลกนี้ พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย มีชีวิตหลังความตาย สิ่งนี้ทำให้ชีวิตของคุณบนโลกมีความหมายและวัตถุประสงค์ใหม่หมด คุณถูกพระเยซูส่งออกไปเพื่อประกาศข้อความนี้แก่โลก
ท้ายที่สุด พระองค์ยังประทานฤทธิ์เดชให้แก่พวกเขาอีกด้วย พระองค์ ‘ทรงระบายลมหายใจเหนือพวกเขาและตรัสกับเขาว่า “จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด ถ้าพวกท่านจะอภัยบาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะได้รับการอภัย ถ้าท่านไม่อภัยบาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการอภัย”’ (ข้อ 22–23) องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงจัดเตรียมกำลังและสิทธิอำนาจในการให้อภัย
ฤทธิ์เดชเดียวกันที่ทำให้พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตายนั้นอยู่กับคุณ พระองค์ประทานฤทธิ์เดชแห่งองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์และฤทธิ์เดชแห่งคำตรัสของพระองค์เพื่อประกาศข่าวเรื่องการทรงอภัยของพระเจ้าต่อมนุษย์ นี่เป็นข่าวที่นำมาซึ่งชีวิตนิรันดร์
- ความเคารพและยำเกรง โธมัสเป็นคนชอบถากถาง ขี้ระแวงและเต็มไปด้วยข้อสงสัย ผมคิดว่าผมอาจมีการตอบสนองแบบเดียวกับเขาเมื่อเขาพูดว่า ‘ถ้าข้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น และไม่ได้เอามือของข้าแยงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์แล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลย’(ข้อ 25)
เขาอาจรู้สึกถ่อมใจลงอย่างมากเมื่อพระเยซูทรงปรากฏแก่เขาและทรงตรัสว่า ‘เอานิ้วของท่านแยงที่นี่ และดูที่มือของเรา ยื่นมือของท่านออกมาคลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อ’ (ข้อ 27)
บาดแผลของพระเยซูมีไว้เพื่อเปิดเผยถึงความถ่อมใจและความรักที่เต็มไปด้วยการทรงอภัยของพระองค์ พระเยซูทรงยอมรับโธมัสอย่างที่เขาเป็น เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงยอมรับความท้าทายของพระองค์โดยไม่บ่นว่าหรือวิพากษ์วิจารณ์ใด ๆ
อย่ารู้สึกผิดที่จะสงสัยเหมือนกับโธมัส จงจริงใจเรื่องข้อสงสัยของคุณเอง และนำความสงสัยเหล่านั้นไปยังพระเยซู เมื่อพระเยซูตรัสข้อสงสัยของเขา การตอบสนองของโธมัสเป็นจุดสูงสุดของความเคารพยำเกรง และเกรงขาม เขาทูลว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์!’ (ข้อ 28) จากจุดที่เต็มไปด้วยความสงสัย บางทีโธมัสอาจแถลงอย่างหนักแน่นที่สุดถึงความเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของพระเยซูในพระกิตติคุณทั้งหมด เขาเป็นคนแรกที่มองไปที่พระเยซูและเรียกพระองค์ว่า ‘พระเจ้า’ เขาพูดซึ่งโดยที่จริงแล้วคือ ‘ว้าว!’
พระเยซูเสด็จไปเพื่อบอกเขาว่าความเชื่อนำไปสู่พระพร (ข้อ 29) อันที่จริงนี่นำไปสู่ชีวิต ความเชื่อและชีวิตไปด้วยกันในพระกิตติคุณยอห์น (ข้อ 31) เพราะว่าหากคุณเชื่อในพระเยซู คุณมีชีวิต นี่เป็นชีวิตแท้จริงซึ่งมีคุณภาพสูง เป็นชีวิตที่ครบบริบูรณ์ (10:10) ซึ่งดำเนินไปชั่วนิรันดร์ (3:16)
เหตุผลทั้งหมดที่ยอห์นบันทึกพระกิตติคุณของท่านคือเพื่อ ‘พวกท่านจะได้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้วท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์’ (20:31) การเป็นขึ้นมาจากความตายเป็นรากฐานความหวังของเราในเรื่องชีวิตก่อนความตาย เช่นเดียวกับหลังความตาย
พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า และพระเจ้าของข้าพระองค์ วันนี้ข้าพระองค์นมัสการด้วยความเกรงขาม และเคารพในพระองค์
2 ซามูเอล 1:1-2:7
ความเคารพ
ท่าทีของดาวิดต่อซาอูลนั้นเป็นตัวอย่างที่น่าทึ่งเรื่องวิธีการตอบสนองต่อคนที่พยายามทำร้ายคุณ ดาวิดไม่ได้พยายามแก้แค้น เขาไม่ได้ขมขื่น เขาปฏิบัติต่อซาอูลด้วยความเคารพสูงสุด นอกจากนี้พระเจ้าทรงเคยใช้ซาอูลอย่างใหญ่หลวงในอดีต ความจริงที่ว่าซาอูลได้ออกนอกลู่นอกทาง ไม่ได้ลบล้างความเคารพที่ดาวิดมีออกไป
ท่าทีของดาวิดต่อซาอูลนั้นจะไม่ธรรมดา เขาพูดกับคนอามาเลขที่อ้างว่าได้สังหารซาอูลว่า ‘ทำไมเจ้าไม่เกรงกลัวในการยื่นมือออกทำลายผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้?’ (1:14) คนอามาเลขอาจพยายามจะหาประโยชน์จากการบิดเบือนข้อเท็จจริงที่ว่าเขาอาจเป็นพวกแร้งทึ้งศพ ผู้นำเอาเครื่องราชอิสริยาภรณ์มาจากซาอูลเพื่อหวังความโปรดปรานจากดาวิด ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ก็ตามสิ่งนี้ไม่ได้เกิดประโยชน์กับเขา เพราะความเคารพที่ดาวิดมีต่อซาอูล
ดาวิดคร่ำครวญต่อการตายของโยนาธานเพื่อนรักของตนและต่อซาอูล (ข้อ 19–27) การคร่ำครวญนั้นเป็นการตอบสนองตามธรรมชาติ จำเป็น และเหมาะสมต่อการเสียชีวิตของคนที่เรารัก
สำคัญที่สุด ดาวิดเคารพต่อองค์พระเจ้า เขา ‘ทูลถามพระเจ้า’ (2:1) เขาทูลถามว่า ‘ข้าพระองค์ควรขึ้นไปยังเมืองหนึ่งของยูดาห์หรือไม่?” และพระยาห์เวห์ตรัสตอบท่านว่า “จงขึ้นไปเถิด” ดาวิดทูลว่า “ข้าพระองค์ควรขึ้นไปที่ไหน?” พระองค์ตรัสว่า “ที่เมืองเฮโบรน; ดาวิดเชื่อฟัง และได้รับการเจิมตั้งเป็นกษัตริย์เหนือพงศ์พันธุ์ยูดาห์
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รักและเคารพทุกคนที่พระองค์ทรงเจิมตั้งไว้ในบทบาทผู้นำ ไม่ว่าเขาจะสนับสนุนเราหรือไม่ก็ตาม ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้ดำเนินชีวิตแห่งการยำเกรง การเกรงขาม และการให้ความเคารพ
Pippa Adds
ยอห์น 20:10
ฉันสนใจในเรื่องนี้อย่างยิ่ง จากคนทั้งหมดที่พระเยซูทรงสามารถปรากฏกับพวกเขา พระเยซูทรงเลือกที่จะปรากฏพระองค์เป็นครั้งแรกกับมารีย์ มักดาลา พระองค์ไม่ได้ทรงไปหาพวกสาวกรุ่นใหญ่ (หรือแม้กระทั่งมารดาของพระองค์เอง!) แต่กลับไปหาผู้หญิงที่ไม่มีใครในโลกให้ความสำคัญ
References
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)About this Plan

การเข้าใจพระคัมภีร์อาจเป็นเรื่องยาก ทำไมไม่ลองอ่านหรือฟังพร้อมกับคำอธิบายทุกวัน จากนิคกี้และพิพพา กัมเบล -ผู้บุกเบิกอัลฟ่า เริ่มวันนี้เลย!
More
Related Plans

Everyday Prayers for Christmas

Gospel-Based Conversations to Have With Your Preteen

Simon Peter's Journey: 'Grace in Failure' (Part 1)

Reimagine Influence Through the Life of Lydia

Never Alone

Who Am I, Really? Discovering the You God Had in Mind

The Holy Spirit: God Among Us

Sharing Your Faith in the Workplace

Positive and Encouraging Thoughts for Women: A 5-Day Devotional From K-LOVE
