การนับถือตนเองในมุมมองพระคัมภีร์ (Self Esteem)ตัวอย่าง

การนับถือตนเองในมุมมองพระคัมภีร์ (Self Esteem)

วันที่ 5 จาก 11

เราควรใช้ค่านิยมอะไรในการมองตนเอง

เมื่อถึงจุดนี้ น่าจะชัดเจนว่าพระบิดาในสวรรค์ของเราก็เหมือนกับพ่อแม่ผู้เปี่ยมด้วยความรักที่ต้องการให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง แต่พระองค์ทรงต้องการให้เป็นไปตามเงื่อนไขของพระองค์ไม่ใช่ของเรา นั่นอาจฟังดูเหมือนเป็นข่าวร้าย แต่ไม่ใช่เลย ค่านิยมของสวรรค์นั้นสมบูรณ์ยิ่งกว่าและมีความหมายมากกว่าค่านิยมที่คงอยู่ในเวลาสั้นๆ ซึ่งมักจะดูน่าสนใจสำหรับเรา การวัดคุณค่าตามมาตรฐานของมนุษย์ เรามีแนวโน้มตามธรรมชาติที่จะคิดว่า ความเป็นอยู่ที่ดีและการรู้สึกดีกับตัวเองนั้นขึ้นอยู่กับค่านิยมที่บรรยายไว้ดังนี้
• ความงาม
• สติปัญญา
• เงินทอง
• มัดกล้าม
• รูปลักษณ์
• ทักษะพิเศษ
• ความมั่งคั่ง
• ความสามารถ
• ความโดดเด่น
• ความสุขสนุกสนาน
• ทรัพย์สมบัติ
• อำนาจ

หากสิ่งเหล่านี้คือค่านิยมของเรา เราก็มีปัญหา แล้ว ไม่ว่าจะมีการบรรยายถึงสิ่งเหล่านี้อย่างไร ทั้งหมดก็เป็นเพียงสิ่งผิวเผิน ไม่ยั่งยืนและหลอกลวง ผลรวมทั้งหมดในเรื่องรูปร่างหน้าตา ความสามารถ และความมั่งคั่งนั้นไม่อาจเทียบกับคุณค่าที่เรามีได้ นี่เป็นคำโกหกที่เลวร้ายซึ่งโน้มน้าวให้เรารู้สึกแย่กับตัวเอง เพราะเราเทียบคนอื่นไม่ได้เลยในด้านความงาม สติปัญญา เงินทอง หรือมัดกล้าม เป็นการโกหกคำโตที่ทำให้เราคิดว่าคุณค่าที่แท้จริงนั้นพบได้ในหน้า ตาที่หล่อเหลา การมีรูปร่างดี มีไหวพริบ หรือมีเงินทองมากมาย แต่กระนั้นเด็กๆในโลกจะได้รับการบำรุงเลี้ยงดูหรือละเลย ได้รับการเอาใจใส่หรือทอดทิ้ง ส่วนใหญ่แล้วก็จะบอกได้จากโครงสร้างของกระดูกและไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกาย ความตื่นตัวในการตอบสนองต่อ สิ่งต่างๆ หรือสถานะทางสังคมของพ่อแม่ เด็กๆ จะเติบโตขึ้นมาโดยรู้สึกดีหรือไม่ดีกับตัวเองนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาปรับตัวเข้ากับโลกรอบตัวที่เห็นแก่ตัว และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้อย่างไร นี่หมายความว่าเราควรดูแคลนค่านิยมต่างๆเหล่านี้หรือ ไม่ใช่เช่นนั้น ค่านิยมเหล่านี้ล้วนมีจุดมุ่งหมาย เราจำเป็นต้องพัฒนาและเห็นคุณค่าทั้งในเรื่องความมั่งคั่ง เรื่องรูปลักษณ์ภายนอก ความสามารถ และ การส่งอิทธิพล เมื่อค่านิยมที่สูงกว่าของพระเจ้าแสดงให้เราเห็นว่าเป็นการเหมาะสมที่จะทำเช่นนั้น เราต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้กับสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เรา การเป็นคนที่แต่งตัวสะอาดเรียบร้อยและมีโทนสีเข้ากันเป็นเรื่องที่เหมาะสม และอย่างน้อยสิ่งนี้จะช่วยให้เรารู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น แต่เมื่อพูดถึงรากฐานที่แท้จริงของการเห็นคุณค่าในตนเอง เราต้องก่อร่างขึ้นบนความจริงจากสิ่งที่พระ เจ้าตรัสกับผู้เผยพระวจนะซามูเอลขณะที่ทรงเปิดเผยให้ท่านเห็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล พระเจ้าตรัสถึงตัวเลือกที่ “มาแรง” นั้น ว่า อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกหรือที่ความสูงแห่งร่าง กายของเขา ด้วยเราไม่ยอมรับเขา เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู มนุษย์ดูที่ รูปร่างภายนอกแต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ (1 ซมอ.16:7)

อย่างไรก็ตามหลังจากได้บันทึกถึงความสำคัญของ “การทอดพระเนตรภายใน” ของพระเจ้าแล้ว พระธรรมบทเดียวกันนี้ยังกล่าวถึงดาวิดผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมว่า “เป็นคนผิวแดงๆมีหน้าตาสวยและรูปร่างงามน่าดู” (1 ซมอ.16:12) เห็นได้ชัดว่าพระเจ้าพระองค์เองทรงมองเห็นความสำคัญของการพิจารณาตามความเป็นจริงตามแบบของมนุษย์ด้วย ขณะเดียวกันก็ทรงแสดงให้เห็นชัดเจนว่าพระองค์ทรงทอดพระเนตรที่จิตใจ นอกจากนั้นยังมีผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ ผู้ป่าวประกาศแก่โลกที่ทุกข์ยากและกำลังจะตายว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า อย่าให้ผู้มีปัญญาอวดในสติปัญญาของตน อย่าให้ชายฉกรรจ์อวดในความเข้มแข็งของตน อย่าให้คนมั่งมีอวดในความมั่งคั่งของตน แต่ให้ผู้อวดอวดในสิ่งนี้คือในการที่เขาเข้าใจและรู้จักเราว่าเราคือพระเจ้า (ยรม.9:23-24) การวัดคุณค่าตามมาตรฐานของพระเจ้า เราถูกขับเคลื่อนจากสิ่งใดมากกว่ากันระหว่างเงินทองกับความซื่อสัตย์ เรากังวลเรื่องใดมากกว่ากันระหว่างการดูดีหรือการทำความดี เรากังวลกับเรื่องใดเป็นอันดับแรกระหว่างสิ่งที่เราจะได้จากคนอื่นหรือสิ่งที่เราสามารถจะให้ได้ เรามีปฏิกิริยาที่เพียงแต่สะท้อนถึงสถานการณ์ที่กำลังเผชิญหรือเราอยู่เหนือสถานการณ์ในฐานะคนที่มีทิศทาง มีวัตถุประสงค์และหลักการอยู่ภายใน คุณลักษณะที่ปรากฏออกมาเหล่านี้จะสร้างความแตกต่างอย่างมากว่าเราจะลงเอยด้วยความรู้สึกดีกับตัวเองหรือไม่ แต่คุณลักษณะที่พระเจ้าพระองค์ เองทรงพัฒนาขึ้นภายในเรานั้นจะสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเหนือบรรดาคุณลักษณะทั้งปวง เราต้องทำอะไรเพื่อจะพัฒนาคุณลักษณะตามแบบของพระเจ้านี้ มีหลายวิธีที่จะตอบคำถามนี้ จดหมายของอัครทูตเปาโลถึงชาวโรมเป็นประโยชน์ในเรื่องนี้ เพราะได้มีการเชื่อมโยงคุณภาพความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าเข้ากับความคิดเห็นที่ถูกต้องเกี่ยวกับตัวเรา

ในบทที่ 12 เปาโลอธิบายถึงสามขั้นตอนที่จะมาพร้อมกับการเห็นคุณค่าในตนเองที่พระเจ้าทรงมองหา ตามที่เปาโลกล่าวไว้นั้น (1)เราต้องสละสิทธิ์ของเราเอง และไว้วางใจพระเจ้าในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์จะทำในชีวิตของเรา (2) เราต้องต่อต้านแรงกดดันทางสังคมที่ให้คุณค่ากับวัตถุนิยม (3) เราจำเป็นต้องให้จิตใจของเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ด้วยพระวจนะและความคิดของพระเจ้า ให้เราสังเกตถึงวิธีที่เปาโลรวมองค์ประกอบทั้งสามข้อนี้เข้าด้วยกัน และเชื่อมโยงเข้ากับวิธีที่พระเจ้าทรงต้องการให้เราคิดเกี่ยวกับตัวเราเอง พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลาย [ขั้นที่ 1] ให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย [ขั้นที่ 2] อย่าประพฤติตามอย่างคน ในยุคนี้ แต่ [ขั้นที่ 3] จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไร เป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่านทั้งหลายทุกคนโดยพระคุณ ซึ่งทรงประทานแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า อย่าคิดถือตัวเกินที่ตนควรจะคิดนั้น แต่จงคิดให้ถ่อมสุขุมสมกับขนาดความเชื่อ ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่ท่าน (รม.12:1-3) เปาโลอธิบายต่อไปถึงผลลัพธ์ของการยอมจำนนนี้ (12:4-21) คำพูดของท่านแสดงให้เห็นว่า คนที่ดำเนินชีวิตตามหลักการเหล่านี้มีเหตุผลที่จะรู้สึกดีกับตัวเองและรู้สึกดีกับสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ เปาโลได้หนุนใจผู้อ่านของท่านอีกหลายครั้งว่า อย่าให้ความชั่วชนะเราได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี (ข้อ 21)

ข้อพระคัมภีร์

เกี่ยวกับแผนฯ

การนับถือตนเองในมุมมองพระคัมภีร์ (Self Esteem)

เคยสงสัยไหมว่า… เราควรใช้ค่านิยมอะไรในการมองตนเอง? ความคิดเห็นของใครสำคัญ? เราจะเป็นทุกอย่างที่เราต้องการได้ไหม? ทำไมการเห็นคุณค่าในตนเองนั้นสำคัญ? การมองตัวเองในแง่ลบเกิดจากอะไร? 🤍การนับถือตนเองอย่างถูกต้องนั้นเป็นเสมือนคำอวยพร ผู้ที่เชื่อว่าตนเองมีความสามารถก็มีแนวโน้มที่จะสร้างความแตกต่างในเชิงบวกให้กับชีวิตของผู้อื่น ผู้ที่มีความเคารพต่อตนเองอย่างถูกต้อง จะแสวงหาการมีสัมพันธภาพและกล้าเผชิญปัญหาที่ท้าทาย ผู้ที่มีความคิดเชิงบวกต่อตนเองก็มีแนวโน้มที่จะทำตามสิ่งที่ตัวเองมุ่งหวังไว้ได้สำเร็จ เราไม่ต้องการที่จะเปรียบเทียบตัวเราเองกับคนบางคนที่ยกย่องตัวเอง แต่เมื่อเขาเอาตัวของเขาเป็นเครื่องวัดกันและกัน และเอาตัวเปรียบเทียบกันและกันแล้ว เขาก็เป็นคนขาดความเข้าใจ…เพราะคนที่ยกย่องตัวเองไม่เป็นที่นับถือของผู้ใด คนที่น่านับถือนั้นคือคนที่พระเจ้าทรงยกย่อง (2 คร. 10:12, 18)

More

เราขอขอบคุณ Our Daily Bread Ministries - Asia Pacific ที่ให้แผนนี้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดไปที่ thaiodb.org