การนับถือตนเองในมุมมองพระคัมภีร์ (Self Esteem)ตัวอย่าง

การนับถือตนเองในมุมมองพระคัมภีร์ (Self Esteem)

วันที่ 4 จาก 11

เราควรรู้สึกอย่างไรกับตนเอง

มีความคิดเห็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเห็นคุณค่าในตนเอง (การนับถือตนเอง) ในหนังสือบุตรสิรา ซึ่งเป็นคัมภีร์โบราณที่อยู่นอกสารบบของพระ คริสตธรรมคัมภีร์ เราได้อ่านพบข้อความที่กล่าวว่า ลูกเอ๋ย จงให้เกียรติตนเองแต่พอประมาณ จงตี ค่าตนเองตามที่เป็นจริง เมื่อคนหนึ่งยอมรับผิด ผู้ใดจะประกาศว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ เมื่อคนหนึ่งดูถูกตนเอง ผู้ใดจะให้เกียรติเขา (บุตรสิรา 10:28-29) สำหรับบางคน คำกล่าวนี้จะสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางแห่งสติปัญญาที่เป็นรูปธรรม หลายคนพบว่าถ้าพวกเขาไม่เชื่อในตัวเอง คนอื่นก็ไม่น่าจะเชื่อในตัวพวกเขาเช่นกัน อย่างไรก็ตามแม้หนังสือบุตรสิราจะรวมอยู่ในพระคัมภีร์บางฉบับ แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากคริสตจักรทั้งหมดว่าเป็นหนังสือที่ได้รับการดลใจและมีสิทธิอำนาจ ดังนั้นเราจึงต้องปฏิบัติต่อข้อความอ้างอิงนี้ในแบบที่เราปฏิบัติต่อข้อคิดและแนวคิดอื่นๆ โดยเราต้องดูว่าพระคัมภีร์ทั้งเล่มสนับสนุนแนวคิดเรื่องการนับถือตนเองด้วยความถ่อมใจหรือไม่ ตามที่เราคาดไว้แล้วว่า คำสอนเรื่องความถ่อมใจหาพบได้ไม่ยากในพระคัมภีร์ เมื่อมองเผินๆดูเหมือนพระคัมภีร์จะห่วงผู้ที่มองเห็นตัวเองสูงส่งเกินความจริง มากกว่าคนที่มองว่าตนเองต่ำต้อยกว่าคนอื่น

ตัว​อย่าง​เช่น ใน​จดหมาย​ถึง​ชาว​โรม อัครทูตเปาโลกล่าวว่า ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่านทั้งหลายทุกคนโดยพระคุณซึ่งทรงประทานแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า อย่าคิด ถือตัวเกินที่ตนควรจะคิดนั้น แต่จงคิดให้ถ่อมสุขุมสมกับขนาดความเชื่อที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่ท่าน (รม.12:3) แต่เปาโลหมายความว่าอย่างไรเมื่อกล่าวว่าเราต้อง “คิดให้ถ่อมสุขุม [เกี่ยวกับตัวเราเอง] สมกับขนาดความเชื่อ ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่ท่าน” ในการตอบคำถามนี้ สิ่งที่สำคัญคือเราต้องเข้าใจความหมายของคำเหล่านั้นในบริบทของต้นฉบับดั้งเดิม เมื่ออ่านต่อไปเราพบว่า ประการแรกเปาโลต้องการให้ผู้อ่านคิดถึงตนเองในฐานะคนที่พึ่งพาอาศัยในจุดแข็งของ กันและกัน (12:4-8)

ประการที่สอง เมื่อเปาโลใช้คำว่า ให้ถ่อมสุขุม นั้นท่านกำลังบอกผู้อ่านให้รู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้ หรือไม่อาจจะเป็นอะไรก็ได้ที่อยากเป็น ในทางกลับกันเปาโลหนุนใจให้พวกเขาคิดถึงตนเองอย่างถ่อมสุขุม ซึ่งมีรากฐานอยู่บนการมองสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงและโดยการรู้จักบังคับตน ประการที่สาม ถึงแม้ว่าเปาโลจะสนับสนุนเรื่อง การรู้จักบังคับตน (การควบคุมตนเอง) ท่านก็ขอให้ผู้อ่านคิดถึงตัวเองในฐานะคนที่รู้ว่าตนเองต้องพึ่งพาในกันและกัน และพึ่งพาในพระเจ้า

เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะมองเห็นตัวเองด้วยภาพลักษณ์ที่ถูกต้องซึ่งจะสะท้อนถึงการที่เราพึ่งพาพระเจ้า

ในจดหมายอีกฉบับหนึ่งเปาโลแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า ท่านเชื่อมั่นในพระเจ้าในเรื่องที่เกินความเข้าใจของตนเอง โดยมั่นใจว่าพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเข้าใจวัตถุประสงค์และคุณลักษณะตัวตนของชีวิตเรา เปาโลกล่าวว่า เราไม่ต้องการที่จะเปรียบเทียบตัวเราเองกับคนบาง คนที่ยกย่องตัวเอง แต่เมื่อเขาเอาตัวของเขาเป็นเครื่องวัดกันและกัน และเอาตัวเปรียบเทียบกัน และกันแล้ว เขาก็เป็นคนขาดความเข้าใจ…เพราะคนที่ยกย่องตัวเองไม่เป็นที่นับถือของผู้ใด คนที่ น่านับถือนั้นคือคนที่พระเจ้าทรงยกย่อง (2 คร. 10:12, 18) เมื่ออ่านถ้อยคำเหล่านี้ตามบริบท คำพูดนั้นแสดงให้เห็นภาพอัครทูตผู้เขียนที่มีทั้งความถ่อมใจและศักดิ์ศรีในการเคารพตนเอง ในขณะที่อุทิศตนที่จะเป็นคนอ่อนสุภาพและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น(10:1) ท่านยัง เห็นว่าตนเองสามารถทำทุกอย่างที่พระเจ้าต้องการให้ท่านทำได้ (10:2-6) ความมั่นใจของเปาโลอยู่ในพระเจ้า ไม่ใช่ในตัวเองหรือในความคิดเห็นของคนอื่น

การวัดคุณค่าตามมาตรฐานของมนุษย์ แม้ว่าพระคัมภีร์ส่งเสริมให้เรารู้ถึงคุณค่าของตน เองซึ่งมีแหล่งกำเนิดมาจากพระเจ้า แต่โปรแกรมด้านการศึกษาหรือการจัดการเรียนรู้ในชุมชนมักจะให้ความสำคัญในการส่งเสริมให้แต่ละคนเห็นคุณค่าในตัวเองและเคารพตนเองโดยไม่นำพระเจ้าและศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าวัตถุประสงค์ของโปรแกรมคือเพื่อช่วยให้เด็กๆไม่ออกจากการเรียนกลางคัน ป้องกันไม่ให้ เกิดการตั้งครรภ์ในช่วงวัยรุ่น หรือช่วยให้พวกเขาไม่ทำลายชีวิตตนเองด้วยการติดยา การเข้าแก๊ง หรือ การดื่มแอลกอฮอล์ก็ตาม แต่ในหลายโปรแกรมนั้น เกิดขึ้นมาจากความเชื่อที่ว่า การเห็นคุณค่าในตนเองอย่างถูกต้องควรจะเป็นค่านิยมขั้นพื้นฐานของมนุษย์ นักการศึกษาและนักพูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจจะสนับสนุนเยาวชนโดยไม่สนใจในเรื่องของศาสนาและสิทธิอำนาจฝ่ายวิญญาณ โดยโน้มน้าวให้เยาวชนเชื่อว่า “คุณไม่ใช่เศษขยะ คุณคือคนพิเศษ อย่ายอมให้ คนอื่นมาหลอกใช้ จงเป็นตัวของตัวเอง จงรักตัวเอง จงเชื่อในตัวเองและทำตามหัวใจของตน จงเป็นทุกอย่างที่คุณจะเป็นได้ จงดูแลตัวเองให้ดีเพราะถ้าคุณไม่ทำก็จะไม่มีใครที่ไหนมาดูแลคุณ” ความพยายามที่จะส่งเสริมการมองเห็นตนเองในเชิงบวกเช่นนี้มีข้อดี คนหนุ่มสาวจำนวนมากได้รับ แรงบันดาลใจให้ยังคงอยู่ในระบบการศึกษาและประสบความสำเร็จในชีวิตเพราะมีคนเชื่อในตัวพวกเขา หรืออย่างน้อยก็สอนให้พวกเขาเชื่อในตัวเอง ในขณะเดียวกัน คำสอนหลายอย่างในหัวข้อ “การเห็นคุณค่าในตนเอง (การนับถือตนเอง)” นี้ก็แฝงไปด้วยนัยทางจิตวิญญาณที่อาจทำให้เข้าใจผิดได้ การบอกว่าผู้คนสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่พวกเขาต้องการจะเป็นนั้นเป็นความจริงแค่ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด

แต่การบอกว่าเราไม่ควรรู้สึกแย่กับสิ่งที่เราได้ทำลงไปนั้นมักจะไม่เป็นความจริงเลย การส่งเสริมให้ไม่มีความกลัว ไม่รู้สึกผิด ไม่เสียใจ และในที่สุดแล้วไม่ต้องรับผิดชอบต่อใครเลยนอกจากตัวเราเองนั้นเป็นเพียงการแก้ปัญหาในระยะสั้นเท่านั้น เพราะในระยะยาวแล้วการพยายามทำให้ผู้คนรู้สึกดีขึ้นโดยละทิ้งความจริงไป จะจบลงด้วยความเสียใจและความสิ้นหวังอย่างถาวร การวัดคุณค่าตามมาตรฐานของพระเจ้า

พระคัมภีร์สอนให้เรามองเห็นคุณค่าของชีวิตเราด้วยการรวมเอามุมมองที่มาจากพระเจ้าเข้ามาด้วย อย่างไรก็ตาม หนทางไปสู่การที่เราจะมองเห็นคุณค่าในตนเองได้ในท้ายที่สุดเช่นนี้เป็นความท้าทาย พระคัมภีร์ไม่เพียงกล่าวถึงความสำคัญของการที่เราต้องรักตัวเอง แต่ยังบอกด้วยว่า หากเรารู้ว่าเมื่อใดที่ควรคิดแง่ลบและเสียใจเกี่ยวกับตัวเองอย่างเหมาะสมก็จะส่งผลที่มีประโยชน์ในระยะยาวให้เรามีชีวิตที่เป็นอยู่ดีและมีความสุขในท้ายที่สุด ถึงจุดนี้คุณอาจรู้สึกไม่แน่ใจว่าคุณจะอยากอ่านต่อไปไหม โปรดอย่าเพิ่งหยุดตอนนี้ อย่ารู้สึกกลัว ความสุขและสุขภาพทางอารมณ์ที่พระเจ้าประทานให้นั้นเป็นสิ่งที่ดีกว่าอย่างไม่มีอะไรมาเทียบได้และคงอยู่ชั่วนิรันดร์ ดียิ่งกว่าสิ่งใดๆที่คุณอาจจะสูญเสียไปในระหว่างกระบวนการนี้ เพื่อให้เข้าใจอย่างถูกต้อง คำถามไม่ใช่ว่าคุณจะสามารถเห็นคุณค่าในตัวเองซึ่งมีรากฐานใน ฝ่ายวิญญาณได้หรือไม่ แต่คำถามคือ คุณจะสละทิ้ง การนับถือตนเองและการมีศักดิ์ศรีในแบบที่โลกนี้จะให้ความสำคัญต่อไปอีก 100 ปีได้หรือไม่

ฉะนั้น ขอโปรดอ่านต่อไป ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของคุณเองเท่านั้น แต่เพื่อคนที่ได้รับอิทธิพลจากชีวิตของคุณด้วย ในตอนแรก การเห็นคุณค่าของตัวเองตามแบบพระคัมภีร์ดูเหมือนจะขัดแย้งกับสัญชาตญาณทั้งหมดของคุณ แต่นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงมองเห็นทุกสิ่งชัดเจนกว่าที่เราเห็น พระองค์ทรงรู้ว่าในท้ายที่สุดเราจะมีความสุขก็ต่อเมื่อเราเรียนรู้ที่จะเห็นความสำคัญของการรักตนเอง การเกลียดชังตนเองและการตาย ต่อตนเอง ให้เราพิจารณาแต่ละเรื่องด้วยกัน การรักตนเอง เป็นเรื่องน่าแปลกที่พระคัมภีร์คาดหมายว่าเรารักตัวเองอยู่แล้ว ดูเหมือนพระเยซูจะทรงทราบเรื่องนี้ดีเมื่อพระองค์ตรัสว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” (มธ.22:39)

เมื่ออัครทูตเปาโลให้คำแนะนำเรื่องการใช้ชีวิตสมรส ท่านได้กล่าวชี้ชัดมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มโดยธรรมชาติของเราที่จะรักตัวเอง เช่นนั้นแหละ สามีจึงควรจะรักภรรยาของตนเหมือนกับรักกายของตนเอง ผู้ที่รักภรรยาของตนก็รักตน เอง เพราะว่าไม่มีผู้ใดเกลียดชังเนื้อหนังของตนเอง มีแต่เลี้ยงดูและทะนุถนอม เหมือนพระคริสต์ทรงกระทำแก่คริสตจักร (อฟ.5:28-29) ประสบการณ์ของเราเองคงจะรับรองเรื่องนี้ได้ เรามีนิสัยที่จะดูแลร่างกายตนเอง โดยการกินอาหาร สวมใส่เสื้อผ้าและปกป้องร่างกาย เป็นธรรมชาติที่เราจะดูแลสิทธิ์ของเราเองและมีแนวโน้มที่จะหงุดหงิดหรือโกรธหากคนอื่นพยายามเอาเปรียบเรา เราใส่ใจตัวเองอย่างมากจนเมื่อเราไม่สามารถทำตามความคาดหวังของเราเองหรือของคนอื่นได้ เราก็อาจไม่พอใจคนอื่นและถึงกับโกรธตัวเองได้ แต่บางครั้งสิ่งที่เราไม่ทันคิดก็คือ การที่เราไม่พอใจกับรูปลักษณ์ภายนอกหรือท้อใจในความล้มเหลวของเรานั้น ก็เป็นเพราะเหตุผลเดียวคือโดยธรรมชาติแล้วเราห่วงตัวเอง ถ้าเราไม่ห่วงตัวเองเราก็จะไม่สนใจว่าตัวเราดูเป็นอย่างไร เราจะไม่สนใจว่าคนอื่นคิดอย่างไรกับเรา เราจะไม่สนใจว่าภายในเราเจ็บปวดไหม เราจะไม่เสียเวลากับภาพที่เราเห็นในกระจก

หากเราไม่รักตัวเอง เราก็จะไม่คิดด้วยซ้ำว่าเราตายไปจะดีกว่าไหม แต่เวลานี้สิ่งที่จะเปลี่ยนความคิดเราได้นั้นปรากฏออกมาแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าถ้าคุณรักตัวเองจริงๆคุณจะเกลียดตัวเองด้วยการเกลียดตนเอง พระคัมภีร์สอนอย่างไรเรื่องการเกลียดชังตนเอง สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือพระเจ้าไม่ได้ทรงบอกให้เราเกลียดใบหูที่ใหญ่ จมูกคด หรือขาสั้น พระองค์ไม่ได้ขอให้ เรามุ่งความสนใจไปที่สีผิว ผมที่จัดทรงไม่ได้ หรือแม้กระทั่งปัญหาจากความทรงจำที่เลวร้ายหรือความซุ่ม-ซ่ามของเรา สิ่งที่พระองค์ทรงต้องการให้เราเกลียดชัง คือสิ่งที่ร้ายแรงและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเรามากยิ่งกว่า นั่นคือความดื้อดึงในการเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่อยู่ในบาป เปาโลตระหนักถึงวิสัยภายในดังกล่าวนี้ เมื่อท่านกล่าวว่า ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเป็นกฎธรรมดาอย่างหนึ่ง คือเมื่อใดที่ข้าพเจ้าตั้งใจจะกระทำความดี ความ ชั่วก็พร้อมที่จะผุดขึ้น เพราะว่าส่วนลึกในใจของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าชื่นชมในธรรมบัญญัติของพระเจ้า แต่ข้าพเจ้าเห็นมีกฎอีกอย่างหนึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า ซึ่งต่อสู้กับกฎแห่งจิตใจของข้าพเจ้า และชักนำให้ข้าพเจ้าอยู่ใต้บังคับกฎแห่งบาป ซึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้ ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายนี้ซึ่งเป็นของความตายได้ (รม.7:21-24)

ความคับข้องใจที่เปาโลมีกับตัวเองอาจดูไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักที่จะนำมาพูดคุยกันในหัวข้อเรื่องการนับถือตนเองหรือการเห็นคุณค่าในตัวเองนี้ แต่ความตั้งใจของท่านที่จะเกลียดชังส่วนหนึ่งของตนที่ไม่เกิดประโยชน์ ในฝ่ายวิญญาณนั้นก็คล้ายกับการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน เปาโลเรียนรู้ที่จะมองเห็นความอ่อนแอและความล้มเหลว ของธรรมชาติมนุษย์ในตนเอง ท่านจึงเป็นเหมือนช่างก่อสร้างที่ต้องรื้อถอนตึกที่มีปัญหาก่อนที่จะสร้างบ้านหลังใหม่บนที่ดินเดิมนั้นได้ ท่านเป็นเหมือนโค้ชที่พบความจำเป็นว่าจะต้องทำลายความมั่นใจในตัวเองของนักเตะก่อนที่พวกเขาจะเต็มใจเล่นบอลตามแบบของโค้ชได้ ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าทรงพบความจำเป็นที่จะต้องสำแดงให้เราเห็นว่า เราไม่มีเหตุผลที่จะรู้สึกดีกับตัวเองจริงๆตราบใดที่เราตั้งใจจะดำเนินชีวิตเพื่อตน เองและพึ่งพาตนเอง เราต้องเกลียดชังวิถีชีวิตเช่นนี้มากจนเราร้องทูลพระเจ้าเหมือนกับเปาโล ขอให้ทรงช่วยปลดปล่อยเราจากการมีท่าทีเช่นนี้ ในระหว่างกระบวนการนี้ เราจะพบว่าตัวเองพร้อมสำหรับขั้นตอนต่อไปที่สำคัญแต่เป็นขั้นตอนที่ทำให้ลำบากใจ การตายต่อตนเอง ก่อนที่เราจะมีความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการเติบโตฝ่ายวิญญาณ และบรรลุถึงการเห็นคุณค่าในตนเองอย่างเต็มที่และน่าพึงพอใจนั้น พระคัมภีร์บอกว่าเราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะตายต่อตนเองด้วย อีกครั้งที่ทุกอย่างฟังดูผิดหลักการไปหมด การเห็นคุณค่าในตัวเองจะได้มาโดยการตายต่อตนเอง! แต่นี่คือความจริง พระเยซูตรัสว่า ถ้าผู้ใดมาหาเราและไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้ทั้งชีวิตของตนเองด้วย ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้ ผู้ใดมิได้แบกกางเขนของตนตามเรามา ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้ (ลก.14:26-27)

เราต้องเต็มใจให้พระเยซูอยู่เหนือความสัมพันธ์อื่นๆ (ดู ยน.12:25) เพื่อความสุขของเราเองนั้นเราจำเป็นจะต้องละทิ้งความไว้วางใจในสิ่งอื่นและในแหล่งที่ให้ชีวิตอื่นๆทั้งหมด เมล็ดพันธุ์ต้องตายเพื่อจะให้กำเนิดต้นพืชฉันใด เราจึงต้องฝังความมั่นใจในความหวังอื่นทั้งหมด ก่อนที่เราจะค้นพบพระพรสูงสุดของการได้พบชีวิต ศักดิ์ศรีและการเห็นคุณค่าของตนเองผ่านการพึ่งพาพระเจ้าอย่างสิ้นเชิงฉันนั้น ทั้งหมดนี้อาจฟังดูรุนแรงเกินความจำเป็นและ ไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง แต่ถ้าเราสามารถมองเห็นตัวเองและอนาคตของเราจากหน้าต่างของนิรันดร์กาลแล้ว เราจะเห็นว่าความมั่นใจหรือความหวังใดๆที่แข่งขันกับพระเจ้าเพื่อควบคุมชีวิตของเรานั้นเป็นภัยคุกคามความเป็นอยู่ที่ดีของเรา เราถูกสร้างมาเพื่อรับใช้องค์พระผู้สร้างของเรา เราถูกสร้างขึ้นมาให้รู้สึกดี รู้สึกยอดเยี่ยมในสิทธิพิเศษของการเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ นอกจากนี้ เรายังถูกออกแบบมาให้รู้สึกว่างเปล่าและไม่ได้รับการเติมเต็ม ถ้าหากเราพยายามรับใช้ใครหรือสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระเจ้า (ดู ปญจ.12: 9-14)

ข้อพระคัมภีร์

เกี่ยวกับแผนฯ

การนับถือตนเองในมุมมองพระคัมภีร์ (Self Esteem)

เคยสงสัยไหมว่า… เราควรใช้ค่านิยมอะไรในการมองตนเอง? ความคิดเห็นของใครสำคัญ? เราจะเป็นทุกอย่างที่เราต้องการได้ไหม? ทำไมการเห็นคุณค่าในตนเองนั้นสำคัญ? การมองตัวเองในแง่ลบเกิดจากอะไร? 🤍การนับถือตนเองอย่างถูกต้องนั้นเป็นเสมือนคำอวยพร ผู้ที่เชื่อว่าตนเองมีความสามารถก็มีแนวโน้มที่จะสร้างความแตกต่างในเชิงบวกให้กับชีวิตของผู้อื่น ผู้ที่มีความเคารพต่อตนเองอย่างถูกต้อง จะแสวงหาการมีสัมพันธภาพและกล้าเผชิญปัญหาที่ท้าทาย ผู้ที่มีความคิดเชิงบวกต่อตนเองก็มีแนวโน้มที่จะทำตามสิ่งที่ตัวเองมุ่งหวังไว้ได้สำเร็จ เราไม่ต้องการที่จะเปรียบเทียบตัวเราเองกับคนบางคนที่ยกย่องตัวเอง แต่เมื่อเขาเอาตัวของเขาเป็นเครื่องวัดกันและกัน และเอาตัวเปรียบเทียบกันและกันแล้ว เขาก็เป็นคนขาดความเข้าใจ…เพราะคนที่ยกย่องตัวเองไม่เป็นที่นับถือของผู้ใด คนที่น่านับถือนั้นคือคนที่พระเจ้าทรงยกย่อง (2 คร. 10:12, 18)

More

เราขอขอบคุณ Our Daily Bread Ministries - Asia Pacific ที่ให้แผนนี้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดไปที่ thaiodb.org