พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2023 พร้อมด้วยคำอธิบายจาก นิคกี้และพิพพา กัมเบลSample

ภาระ 5 สิ่งที่ไม่จำเป็นต้องแบกรับ
เซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์ ได้กล่าวไว้ในวาระสุดท้ายของชีวิตว่า ‘เมื่อผมได้มองย้อนกลับไปถึงความกังวลมากมายเหล่านี้ ทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวของชายแก่คนหนึ่งที่พูดไว้ก่อนตายว่า เขาได้มีปัญหาในชีวิตนานัปการ แต่ส่วนใหญ่แล้วมันไม่ได้เกิดขึ้นจริง’ เชอร์ชิลล์ ได้พูดถึงภาระของความกังวลไว้ว่ามันมักไม่เกิดขึ้นจริง แต่ในชีวิตนั้นก็มี ‘ภาระ’ ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป และบางอย่างนั้นก็เป็นจริงอย่างมาก พระเยซูตรัสว่า ‘บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและ*แบกภาระหนัก*จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก จงเอาแอกของเราแบกไว้..และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และ*ภาระ*ของเราก็เบา’ (มัทธิว 11:28-30) แอกคือสิ่งที่พระเยซูมีโอกาสได้ทำในร้านช่างไม้ มันคือกรอบไม้ที่ใช้เชื่อมสัตว์ 2 ตัวเข้าด้วยกันที่คอ (สัตว์ที่กล่าวถึงนี้ มักจะเป็นโค) เพื่อที่จะทำให้พวกมันลากเกวียนไปด้วยกัน หน้าที่ของแอกคือทำให้ภาระที่แบกรับไว้นั้นเบาลง ผมชอบการแปลของ ยูจีน ปีเตอร์สัน ในบทนี้ ในเวอร์ชั่น The Message ‘ท่านเหนื่อยหรือ ท่านแบกภาระหนักหรือ ท่านหมดแรงกับความเชื่อหรือ จงมาหาเรา ให้เรานำท่านไปและท่านจะได้รับการรื้อฟื้นชีวิต เราจะทำให้ท่านได้รู้จักถึงการพักที่แท้จริง จงเดินไปกับเราและทำงานร่วมกับเรา ดูว่าเราทำอย่างไร จงเรียนรู้จังหวะของพระคุณที่ไม่ต้องถูกบีบบังคับ เราจะไม่ให้ท่านต้องมีภาระหนักหรือสิ่งที่ไม่เหมาะกับท่าน จงเดินไปกับเราแล้วท่านจะรู้จักการดำเนินชีวิตอย่างเบิกบานใจและมีเสรีภาพ’ (ข้อ 28-30)สดุดี 68:15-20
1. ความกระวนกระวาย
ในหนังสือ แอฟฟลูเอนซ่า (Affluenza) นักจิตวิทยานามว่า โอลิเวอร์ เจมส์ ได้ชี้ให้เห็นถึงว่า ‘เกือบ 1 ใน 4 ของมันสมองต้องเผชิญกับความทุกข์ทางอารมณ์อย่างรุนแรง เช่น ความหดหู่และความกระวนกระวาย และอีก 1 ใน 4 นั้นอยู่สุดขอบของสิ่งเหล่านั้น’
ดาวิดสรรเสริญพระเจ้า ‘ผู้ทรงแบกภาระเพื่อเราอยู่ทุกวัน’ (ข้อ 19) ภาระในที่นี้อาจหมายรวมถึงหลายสิ่ง ซึ่งหนึ่งในภาระที่พระเจ้าทรงแบกเพื่อเราอยู่ทุกวัน คือ ความกังวล ความเครียด และความกระวนกระวาย
จอห์น นิวตัน กล่าวไว้ว่า ‘เราจะสามารถบริหารจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีกับภาระที่จัดเอาไว้สำหรับแต่ละวัน แต่มันจะหนักมากถ้าหากเรายังคงแบกภาระของเมื่อวานเอาไว้ แล้วเติมภาระของวันพรุ่งนี้เพิ่มเข้าไป ทั้ง ๆ ที่มันยังมาไม่ถึง’
ในแต่ละวัน คุณสามารถมอบความกลัว ความกังวล และความกระวนกระวายของคุณให้กับพระเจ้าได้ แล้วคุณจะได้เห็นความแตกต่าง เพราะพระองค์ทรงแบก ‘ภาระ’ ของเราในแต่ละวัน (ข้อ 19)
ขอบคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า ที่วันนี้ข้าพระองค์สามารถนำภาระทั้งสิ้นของข้าพระองค์เข้ามาหาพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นความกังวล และความกระวนกระวายต่าง ๆ
ยอห์น 18:25-40
2. ความล้มเหลว
เปโตร อัครสาวกผู้ยิ่งใหญ่ถูกถามว่า ‘“เจ้าก็เป็นสาวกของคนนั้นด้วยไม่ใช่หรือ?”’ แต่เขาปฏิเสธว่า ‘“ไม่ใช่”’ (ข้อ 25) นี่เป็นการปฏิเสธครั้งที่ 2 และในครั้งที่ 3 เปโตรถูกท้าทายและเขาได้กล่าวว่า เขาไม่เคยรู้จักพระเยซู (ข้อ 26) ณ เวลานั้นไก่ก็เริ่มขัน (ข้อ 27) เหมือนดังที่พระเยซูทรงทำนายเอาไว้
เช่นเดียวกับพวกเราในบางครั้ง เปโตรระลึกได้แล้วว่าเขาได้ทำผิดต่อพระเยซู ความรู้สึกแห่งการทำผิดพลาดสามารถกลับกลายเป็นภาระอันหนักหน่วงได้
บทนี้ไม่ใช่ตอนจบของเรื่องราวของเปโตร ภายหลังจากที่พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ พระเยซูได้มาพบเปโตรและฟื้นฟูเขากลับมาอีกครั้ง ทรงให้อภัยเขาสำหรับการทำผิดครั้งนี้ และให้โอกาสเขากลับมาเหมือนเดิม (21:15-25) กับพระเยซูนั้น ความผิดพลาดไม่ใช่จุดจบ
แม้ว่าเปโตรจะทำผิดต่อพระองค์ แต่พระเยซูทรงแบกรับเอาความผิดของเขาไว้เอง และทรงให้อภัยเขา ให้ความมั่นใจแก่เขา และใช้เขาอย่างเต็มศักยภาพเฉกเช่นเดียวกับบรรดาบุคคลในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
ยอห์น 18:28–38ก
3. ความอยุติธรรม
หนึ่งในหลาย ๆ สิ่งที่พระเยซูต้องแบกรับเอาไว้นั้นก็คือ การไต่สวนที่ไม่เป็นธรรม หลักการพื้นฐานของทุกระบบแห่งกระบวนการยุติธรรม ก็คือ การดำเนินคดีต้องมีข้อพิสูจน์ว่า จำเลยนั้นได้ทำผิดต่อโจทก์อย่างแท้จริง ‘ภาระการพิสูจน์’ ว่าไม่เป็นความจริงจึงตกอยู่ที่พวกเขา ดังนั้นระบบตุลาการที่ยุติธรรมทุกระบบต้องเอาชนะอคติพื้นฐานที่ว่า เพราะว่าบุคคลนั้นอยู่ในการพิจารณาคดี พวกเขาจึงต้องมีความผิด
เมื่อปีลาตถามว่า ‘พวกท่านมีเรื่องอะไรมาฟ้องคนนี้’ (ข้อ 29) พวกเขาต่างตอบว่า ‘ถ้าเขาไม่ใช่ผู้ร้าย เราก็คงจะไม่มอบตัวเขาไว้กับท่าน’ (ข้อ 30) ในการกล่าวเช่นนี้ เท่ากับว่าโจทก์ของพระเยซูกำลังพยายามบิดเบือนภาระการพิสูจน์
ปีลาตยังปฏิเสธสิทธิที่จะไม่ให้การของพระเยซูอย่างไม่ยุติธรรม เขาพูดว่า ‘เจ้าทำผิดอะไร’ (ข้อ 35ค) เขาพยายามที่จะให้พระเยซูยอมรับจากปากของพระองค์เอง พระเยซูทรงกล่าวว่าพระองค์เสด็จมายังโลกนี้ ‘เพื่อเป็นพยานให้กับสัจจะ’ (ข้อ 37ข) ปีลาตจึงถามต่อว่า ‘สัจจะคืออะไร’ (ข้อ 38ก)
ราวกับว่าปีลาตนั้นกำลังมีคำถาม (เช่นเดียวกับที่สังคมแนวคิดสมัยใหม่ทำ) ว่า ‘สัจจะ’ นั้นมีอยู่หรือไม่ (ซึ่งนั่นก็คือ ความจริงเที่ยงแท้) แต่ปีลาตก็ได้เผชิญกับสัจจะนั้นหน้าต่อหน้า นั่นก็คือ พระเยซูคริสต์ ผู้ที่ทนต่อความทรมานอย่างไร้ความยุติธรรม และยิ่งไปกว่านั้นคือทรงจ่ายราคาที่ไม่เป็นธรรมจนถึงความมรณาที่ไม้กางเขน เพื่อคุณและผม
ยอห์น 18:38ข–40
4. ความบาป
แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความทรมานที่ไร้ความยุติธรรม ปีลาตก็ได้สรุปสุดท้ายว่า ‘เราไม่เห็นว่าคนนั้นมีความผิด’ (ข้อ 38ข) พระเยซูทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ ปีลาตต้องการที่จะปล่อยพระองค์แต่ฝูงชนต่างตะโกนว่า ‘อย่าปล่อยคนนี้ไป แต่ให้ปล่อยบารับบัส’ ณ ขณะนั้นบารับบัสเป็นผู้ก่อการร้าย (ข้อ 40) พระเยซูผู้ทรงปราศจากความผิดได้รับการต้องโทษให้ถูกประหารบนไม้กางเขน แต่บารับบัสผู้ที่เต็มไปด้วยความบาปนั้นกลับถูกปล่อยเป็นไท
สัญลักษณ์นี้ชัดเจนมาก บนไม้กางเขน พระเยซูผู้ทรงปราศจากความผิดได้วายพระชนม์เพื่อให้คนบาปอย่างพวกเราได้เป็นไท ทรงแบกรับภาระแห่งความบาปของพวกเราเอาไว้ด้วยพระองค์เอง
‘สาธุการแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งความรอดของเรา...พระเจ้าของเราทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรอด การหลุดพ้นแห่งความตายนั้นก็อยู่ที่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย’ (สดุดี 68:19-20)
1 ซามูเอล 24:1-25:44
5. ความรู้สึกผิด
ความรู้สึกผิดนั้นเป็นภาระที่เลวร้ายมาก มีแขกท่านหนึ่งในกลุ่มย่อยอัลฟ่าได้พรรณนาถึงความรู้สึกทางฝ่ายกายภาพของความรู้สึกผิดว่าเหมือนกับ ‘กระบวนการย่อยอาหารที่มีปัญหาอย่างรุนแรง’ แต่ความรู้สึกผิดนั้นมากกว่าความรู้สึกทางกาย มันมีผลทางอารมณ์และจิตวิญญาณที่ร้ายแรงยิ่งขึ้น
พระเจ้าได้ทรงประทานความรู้สึกทางด้านคุณธรรมให้กับเรา นั่นก็คือ มโนธรรม บ่อยครั้งที่เรารู้สึกผิดเพราะเรารู้ตัวว่าเราได้กระทำนั้นเป็นสิ่งที่ผิด อย่างไรก็ตาม มโนธรรมของเราผู้เป็นมนุษย์ที่ล้มลงในบาปก็ไม่สมบูรณ์แบบ บางครั้งเรามีประสบการณ์ในความรู้สึกผิดที่ไม่เป็นความจริง คือเรารู้สึกผิดในสิ่งที่ไม่ได้เป็นความผิดของเรา ดังนั้นเราจำเป็นต้องฝึกฝนมโนธรรมของเราผ่านทางพระวจนะคำของพระเจ้า
แต่ในอีกหลาย ๆ ครั้ง เรากลับไม่ได้รู้สึกผิดในสิ่งที่เราควรจะรู้สึกผิด ซึ่งในกรณีเหล่านี้ เราจำเป็นที่จะต้องให้มโนธรรมของเราถูกปลุกขึ้นมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า
ดาวิดมีโอกาสที่จะหนีจากคนที่พยายามจะฆ่า นั่นก็คือ ซาอูล (24:1-4) แต่แทนที่จะใช้โอกาสนั้น ดาวิดกลับเข้าไปตัดชายฉลองพระองค์ของซาอูล เพื่อที่จะเป็นการพิสูจน์ว่าเขานั้นสามารถฆ่าซาอูลได้ถ้าต้องการ
อย่างไรก็ตาม ดาวิด ‘สำนึกผิด เพราะท่านตัดชายฉลองพระองค์ของซาอูล’ (ข้อ 5) เขา ‘รู้สึกผิด’(ข้อ5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่าดาวิดมีจิตสำนึกที่อ่อนไหวและรู้สึกถึงภาระแห่งความรู้สึกผิดในสิ่งที่ได้ทำลงไปกับผู้ที่ ‘พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้’ (ข้อ 6) แต่ท่านก็ยังสามารถประกาศต่อซาอูลว่า 'ขอฝ่าพระบาททรงทราบและทอดพระเนตรเถิดว่า ในมือของข้าพระบาทไม่มีความผิดหรือการกบฏ ข้าพระบาทไม่ได้ทำบาปต่อฝ่าพระบาท’ (ข้อ 11ข)
ในช่วงขณะหนึ่ง ซาอูลเองก็มีจิตสำนึกรู้ผิดรู้ชอบ เขาส่งเสียงและร้องไห้ ‘เจ้าชอบธรรมยิ่งกว่าข้า...เพราะเจ้าตอบแทนข้าด้วยความดี ข้าเองตอบแทนเจ้าด้วยการร้าย’ (ข้อ 16ค-17) ท่ามกลางความอิจฉาริษยาของซาอูล เขาก็มีช่วงเวลาที่คิดได้ถึงความผิดที่แท้จริงของตนเอง
กษัตริย์ดาวิดหลีกเลี่ยงที่จะรับเอาความรู้สึกผิดมาใส่ตัวเอง ดาวิดเกือบจะตามล่านาบาลเพราะการเหยียดหยามที่นาบาลกระทำต่อดาวิดและคนของเขา นางอาบีกายิลมาช่วยเอาไว้ ด้วยทักษะที่เพียบพร้อมและวาทศิลป์ของเธอ เธอนำของกำนัลมาถวายกษัตริย์ดาวิดและพูดว่า ‘ความผิดนั้นอยู่ที่ดิฉันแต่ผู้เดียว...องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้ท่านระงับเสียจากความผิดที่ทำให้โลหิตตก' (25:24, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
เธอพูดต่อไปว่า ‘...เจ้านายของดิฉัน (กษัตริย์ดาวิด) จะไม่มีเหตุที่เสียใจหรือมีจิตสำนึกที่รู้สึกผิด เพราะการฆ่าด้วยไม่มีสาเหตุ เพราะเจ้านายของดิฉันแก้แค้นด้วยตนเอง (ข้อ 31)
ดาวิดตระหนักได้ว่านางอาบีกายิลได้ช่วยให้เขารอดพ้นจากภาระแห่งความรู้สึกผิดนี้: ‘ขอให้ความฉลาดของเจ้ารับพระพร และขอให้ตัวเจ้ารับพระพร เพราะเจ้าได้ป้องกันเราในวันนี้ให้พ้นจากการฆ่า และจากการแก้แค้นด้วยมือของเราเอง’ (ข้อ 33) ทักษะของอาบีกายิลนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งที่เราทุกคนจำเป็นต้องพัฒนา เพราะเป็นการดีที่เราจะพูดด้วยสติปัญญาและวาทศิลป์เมื่อให้คำปรึกษาผู้อื่นถึงสิ่งที่พวกเขาควรประพฤติปฏิบัติ เพื่อที่พวกเขาจะได้หลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจจะนำไปสู่ความผิดได้
ดาวิดหลีกเลี่ยงที่จะพิพากษาด้วยมือของตนเอง แล้ว ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประหารนาบาลและเขาก็ตาย’ (ข้อ 38) เมื่อดาวิดได้ยินว่านาบาลตายแล้ว เขากล่าวว่า 'สาธุการแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงแก้แค้นการเหยียดหยามที่ข้าพระองค์ได้รับจากมือของนาบาล และทรงป้องกันผู้รับใช้ของพระองค์จากความชั่ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตอบแทนความชั่วของนาบาลให้ตกบนศีรษะของเขาเอง’ (ข้อ 39) ในที่สุดแล้ว เรื่องราวต่าง ๆ นี้ก็จบลงที่ดาวิดได้อภิเษกสมรสกับแม่ม่ายหมาด ๆ ซึ่งก็คือ นางอาบีกายิล นั่นเอง
ไม่ว่าเราจะมีความรู้สึกควบคู่ไปด้วยกันหรือไม่ก็ตาม ภาระแห่งความรู้สึกผิดนั้นจริงแท้สำหรับทุกคน พระเยซูทรงวายพระชนม์ที่ไม้กางเขนเพื่อรับความผิดของเรา
ขอบคุณองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงแบกรับเอาความผิดของข้าพระองค์ ความกลัวของข้าพระองค์ ความกังวลของข้าพระองค์ และความกระวนกระวายของข้าพระองค์ รวมถึงแบกรับภาระของข้าพระองค์อยู่ทุกวัน
Pippa Adds
1 ซามูเอล 25:18–19
นี่คือการจัดหาอาหารที่เต็มไปด้วยความเครียดอย่างที่สุด อาบีกายิลและชุมชนของเธออาจจะถูกฆ่าตายหมดถ้าเธอไม่ได้ส่งอาหารได้ภายในเวลา ฉันประทับใจในการบริหารจัดการของอาบีกายิลที่สามารถส่งขนมปังได้ถึง 200 แถว (เป็นการอบที่รวดเร็วมาก), ไวน์, ขนมมะเดื่อ, เมล็ดธัญพืชอบ, เค้กลูกเกด และแกะที่ทำเสร็จแล้ว 5 ตัว! เธอช่วยทุกคนเอาไว้จริง ๆ ปัญหาการจัดหาอาหารของฉันเองนั้นดูเล็กไปเลยเมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน
References
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)About this Plan

การเข้าใจพระคัมภีร์อาจเป็นเรื่องยาก ทำไมไม่ลองอ่านหรือฟังพร้อมกับคำอธิบายทุกวัน จากนิคกี้และพิพพา กัมเบล -ผู้บุกเบิกอัลฟ่า เริ่มวันนี้เลย!
More
Related Plans

Everyday Prayers for Christmas

Gospel-Based Conversations to Have With Your Preteen

Simon Peter's Journey: 'Grace in Failure' (Part 1)

Reimagine Influence Through the Life of Lydia

Never Alone

Who Am I, Really? Discovering the You God Had in Mind

The Holy Spirit: God Among Us

Sharing Your Faith in the Workplace

Positive and Encouraging Thoughts for Women: A 5-Day Devotional From K-LOVE
