YouVersion Logo
Search Icon

พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2023 พร้อมด้วยคำอธิบายจาก นิคกี้และพิพพา กัมเบลSample

พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2023 พร้อมด้วยคำอธิบายจาก นิคกี้และพิพพา กัมเบล

DAY 93 OF 365

รักอย่างไร

กระสุนสี่นัดสาดโดนสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 โดยมีสองนัดติดอยู่ในลำไส้ส่วนล่าง และอีกนัดโดนมือซ้ายและแขนขวาของพระองค์ ความพยายามลอบสังหารสมเด็จพระสันตะปาปาในเดือนพฤษภาคม 1981 ทำให้พระองค์ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียเลือดมาก สุขภาพของพระองค์ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ต่อมาในเดือนกรกฎาคมปี 1981 อาลี อักจา ผู้กระทำความผิดถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต โดยพระองค์ทรงขอให้ผู้คนอธิษฐานเผื่อ ‘อักจาพี่น้องของเรา ผู้ที่เราอภัยให้อย่างสมบูรณ์แล้ว’ สองปีต่อมาสมเด็จพระสันตะปาปาได้กุมมือของอาลี อักจา จากในคุกและกระซิบบอกว่าเขาได้รับการอภัยในสิ่งที่เขาทำไปแล้ว (แม้ว่าผู้ที่เกือบจะเป็นฆาตกรคนนี้ไม่ได้ขอการอภัยก็ตาม) ทรงพัฒนามิตรภาพระหว่างกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งยังได้มีโอกาสพบเจอแม่ของอักจา ในปี 1987 และพี่ชายของเขาในอีกทศวรรษต่อมา ในเดือนมิถุนายน ปี 2000 อักจา ได้รับการอภัยโทษโดยประธานาธิบดีอิตาลีตามคำขอของสมเด็จพระสันตะปาปา และในเดือนกุมภาพันธ์ 2005 อักจาได้ส่งจดหมายถึงสมเด็จพระสันตะปาปา ขอให้อาการประชวรดีขึ้น และเมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์ในวันที่ 2 เมษายน 2005 เอเดรียนพี่ชายของอักจา ให้สัมภาษณ์ว่าอักจา และครอบครัวของเขาเศร้าสลดเสียใจอย่างมาก และพระสันตะปาปาทรงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของพวกเขา การตอบสนองด้วยความรักและความเมตตาของสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 เป็นแบบอย่างที่ดีแต่ความรักและพระเมตตาของพระเจ้านั้นพิเศษยิ่งกว่า นั้นเพราะ ‘ที่กางเขนของพระเยซู มีการอภัยโดยสมบูรณ์ แล้ว มีความรักกับความยุติธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน ความจริงและความเมตตามาบรรจบกัน’

สดุดี 40:9-17

ความรักและความจริง

พระเยซูคริสต์ คือความรักของพระเจ้าที่มีตัวตน แต่พระองค์ตรัสด้วยว่า ‘เราคือ…ความจริง’ (ยอห์น 14:6) พระวิญญาณบริสุทธิ์เทความรักของพระเจ้าเข้าสู่หัวใจของคุณ (โรม 5:5) ทั้งยังเป็นพระวิญญาณแห่งความจริงด้วย (ยอห์น 15:26) ความจริงแปลเปลี่ยนเป็นความแข็งกระด้างหากปราศจากความรักที่เข้ามาเติมความอ่อนโยน ส่วนความรักก็จะกลายเป็นสิ่งที่นุ่มนวลเกินไป หากปราศจากความจริงที่เข้ามาช่วยเติมความเข้มแข็ง

ดาวิดกล่าวว่า ‘ข้าพระองค์มิได้ปิดบังความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ของพระองค์’ (สดุดี 40:10ค) เขาอธิษฐานว่า ‘ขอให้ความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ของพระองค์ ปกป้องข้าพระองค์เสมอ’ (ข้อ 11ข) ดาวิดไม่เห็นว่าความรักและความจริงเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันแต่อย่างใด แต่กลับเป็นสิ่งที่เสริมสร้างกันและกันมากกว่า ความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าคือ พระองค์รักคุณ ทรงชอบธรรม และสัตย์ซื่อ และทรงนำความยุติธรรมมาสู่โลกใบนี้

ความรักและความจริงดำเนินไปด้วยกันเช่นเดียวกับความยุติธรรมและความเมตตากรุณา แนวคิดเรื่องความชอบธรรม (ตามข้อ 10) และความยุติธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดในพระคัมภีร์ ในพระธรรมตอนนี้ ดาวิดวิงวอนขอความเมตตาจากพระเจ้าบนพื้นฐานของความรู้ของเขาว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขออย่าทรงปิดกั้นพระกรุณาของพระองค์จากข้าพระองค์...ความชั่วของข้าพระองค์ตามทันข้าพระองค์ จนข้าพระองค์มองอะไรไม่เห็น’ (ข้อ 11ก, 12ข) ความบาปบังตาเรา เราต้องการความเมตตาและการให้อภัยจากพระเจ้า เพื่อที่เราจะได้เห็นได้ชัดเจน

ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ความรักและความจริงของพระองค์ปกป้องข้าพระองค์ตลอดไป

ลูกา 9:28-56

ความรักและความเมตตา

ในชีวิตของคุณเคยมีประสบการณ์การทรงสถิตของพระเจ้าที่บนยอดเขาหรือไม่? คุณรู้สึกใกล้ชิดกับพระเยซูมากเป็นพิเศษหรือไม่? เนื้อหาตอนนี้เริ่มต้นด้วยประสบการณ์ดังกล่าว

พระเยซูพาเปโตร ยอห์น และยากอบขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐาน ขณะที่พระองค์ทรงอธิษฐาน พวกเขาเห็นพระองค์จำแลงพระกายต่อหน้าต่อตา พวกเขาได้เห็นพระรัศมีของพระองค์ (ข้อ 32) เปโตรทูลพระเยซูว่า ‘พระอาจารย์ นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีจริง!’ (ข้อ 33, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกเขา ‘รับรู้ถึงองค์ผู้เป็นพระเจ้าอย่างแท้จริง’ (ข้อ 34, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ทั้งยังได้ ยินพระเจ้าตรัสว่า ‘ผู้นี้เป็นบุตรของเรา เป็นผู้ที่เราเลือกสรรไว้ จงเชื่อฟังท่านเถิด’ (ข้อ 35)

อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกับสาวกผู้ที่ ‘ลงมาจากภูเขา’ แน่นอนมีช่วงเวลาหนึ่งที่คุณต้องลงมาเช่นกัน (ข้อ 37) บนยอดเขาสร้างแรงบันดาลใจให้เรา แต่หุบเขาจะทำให้เราเติบโต

ความเป็นจริงที่ยากลำบากของชีวิตกำลังรอสาวกอยู่ที่ด้านล่าง ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวในงานรับใช้ การขาดความเข้าใจและการแก่งแย่งชิงดี แต่ประสบการณ์บนภูเขาสามารถสะท้อนให้คุณเห็นชีวิตด้านล่างในรูปแบบใหม่และแตกต่างออกไป

พระเยซูเรียกผู้ติดตามของพระองค์มาสู่ความรักที่โอบกอดไว้ พระองค์เรียกคุณเพื่อต้อนรับผู้คน ‘ถ้าใครยอมรับเด็กเล็ก ๆ คนนี้ในนามของเรา คนนั้นก็ยอมรับเราและใครที่ยอมรับเรา คนนั้นก็ยอมรับ พระองค์ผู้ทรงใช้เรามา’ (ข้อ 48) จงยอมรับผู้คนไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรให้คุณได้มากน้อยเพียงใดก็ตาม

วิธีการต้อนรับผู้คนมีความสำคัญมาก บางคนมีความอบอุ่นและรับแขกเป็นอย่างดี บางคนก็ไม่เป็นเช่นนั้น คริสตจักรบางแห่งมีความอบอุ่นและเป็นมิตรมาก ผมได้รับแรงบันดาลใจอย่างมากจากคริสตจักรฮิลซอง (Hillsong) ในการต้อนรับที่พวกเขามอบให้กับทุกคนที่มาร่วมนมัสการ และการประชุมของพวกเขา ดูเหมือนพวกเขาจะมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าในการต้อนรับผู้คน เปรียบดั่งเป็นการต้อนรับองค์พระเยซู และในการต้อนรับพระเยซูคริสต์พวกเขาก็ยินดีต้อนรับผู้ที่พระองค์ส่งมา

ยอห์นกล่าวว่า ‘อาจารย์ พวกข้าพระองค์เห็นคนหนึ่งขับผีออกโดยพระนามของพระองค์ และข้าพระองค์ ห้ามเขาเพราะเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มเรา’ (ข้อ 49) พระเยซูตรัสว่า ‘อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าใครก็ตามที่ไม่ได้ ต่อสู้ท่านก็อยู่ฝ่ายเดียวกับท่านแล้ว’ (ข้อ 50 เปรียบเทียบลูกา 11:23) ให้เรายอมรับผู้คนที่อยู่นอกเหนือจากแวดวงนิกายและประเพณีของคุณเอง ถ้าพวกเขาไม่ต่อต้านพระเยซูพวกเขาก็อยู่เพื่อพระเยซูคริสต์ จงต้อนรับพวกเขาเช่นกัน

ในทางกลับกันอย่าแปลกใจถ้าคุณไม่ได้รับการยอมรับที่ดีเสมอไป แม้แต่พระเยซูก็ไม่ได้รับการยอมรับ ขณะที่ พระเยซูออกเดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็มอย่างแน่วแน่พระองค์ทรงส่งผู้สื่อสารไปล่วงหน้า ไปในหมู่บ้านชาว สะมาเรียเพื่อตระเตรียมสิ่งต่าง ๆ ให้พระองค์ แต่ผู้คนที่นั่นไม่ต้อนรับพระองค์ (9:51–53)

การตอบสนองทันทีของผมที่ไม่ได้รับการยอมรับจะคล้ายกับของยากอบและยอห์น คือตอบสนองด้วยการแก้แค้น เมื่อเหล่าสาวกเห็นว่าพระเยซูได้รับการปฏิบัติอย่างไรพวกเขาจึงถามว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงต้องการให้พวกข้าพระองค์ขอไฟจากสวรรค์ลงมาเผาผลาญพวกเขาไหม?’ (ข้อ 54) อย่างไรก็ตามการแก้แค้นไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง: ‘แต่พระองค์ทรงหันมาตรัสห้ามพวกเขา’ (ข้อ 55)

พระเยซูผู้ทรงเป็นความจริง และเป็นผู้ที่ต้องรับการพิพากษาของพระเจ้าบนไม้กางเขน แสดงให้เราเห็นว่าการรักศัตรู และเมตตาพวกเขามีความหมายมากเพียงใด

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้สวมกอดความรักไว้เหมือนดั่งพระเยซู โปรดช่วยข้าพระองค์ที่จะไม่ต้องแสวงหาการแก้แค้น แต่ให้ความเมตตาและความรักแม้กระทั่งกับศัตรูของข้าพระองค์เอง

กันดารวิถี 35:1-36:13

ความรักและความชอบธรรม

ทุกชีวิตของชนชาติอิสราเอลอยู่ภายใต้การครอบครองขององค์พระผู้เป็นเจ้าโดยตรง ที่ดำเนินอยู่ในโลกที่ถูกควบคุมดูแลในรูปแบบที่แตกต่างไปจากโลกที่เราอยู่อย่างสิ้นเชิง บางกฎหมายก็ใช้ได้กับทุกสถานการณ์ แต่บางกฎก็มีไว้เฉพาะกับชนชาติอิสราเอลเท่านั้น และในตอนนี้เราก็ได้เห็นจุดเริ่มต้นของแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้คนชาวอิสราเอลในยุคโบราณ

การถูกลงโทษประหารชีวิตเนื่องจากคดีฆาตกรรมเป็นภาพของการชดใช้บาปในชีวิตของมนุษย์ (ปฐมกาล 9:6) เพราะการเอาชีวิตมนุษย์นั้นร้ายแรงถึงขั้นต้องรับโทษอย่างรุนแรง นี่เป็นสังคมที่ทางเลือกอื่นเช่น การจำคุก ตลอดชีวิตใช้ไม่ได้จริง

เราเห็นว่ามีความแตกต่างเกิดขึ้นระหว่างการฆ่าคน ‘ด้วยความเกลียดชัง’ (กันดารวิถี 35:20) และการฆ่าโดยไม่เจตนา (‘ไม่ได้เป็นศัตรูกัน’ และ ‘โดยไม่ได้ดักซุ่มอยู่’ ข้อ 22) เราเห็นจุดเริ่มต้นของสิทธิในการพิจารณาคดี โดยคณะลูกขุนนั่นคือโดยประชาชน ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดจะต้อง ‘ปรากฏตัวต่อหน้าชุมนุมชนในศาล’(ข้อ 12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘ต่อชุมนุมชนเพื่อรับการพิพากษา’ (ข้อ 24, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

‘ผู้แก้แค้นแทนโลหิต’ (ข้อ 19) ไม่ได้ทำการแก้แค้นเป็นการส่วนตัว เรื่องนี้จะต้องถูกนำไปสู่ในศาล (‘ชุมนุมชน’, ข้อ 12) โดยมีพยานมากกว่าหนึ่งปากและศาลจะเป็นผู้ตัดสินคดี และจำเป็นต้องมีหลักฐาน ที่ดีจริง ๆ (ข้อ 30) ต้องไม่มีการติดสินบนใด ๆ (ข้อ 31)

พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ทำให้เราเห็นความแตกต่างระหว่างอำนาจการจัดการของฝ่ายปกครองกับศีลธรรมส่วนบุคคล สิทธิอำนาจของฝ่ายปกครองนั้นมาจากพระเจ้าและบุคคลที่ได้รับสิทธิอำนาจนั้น พวกเขาก็คือผู้รับใช้ของพระเจ้าที่เป็นตัวแทนของความพิโรธ เพื่อจะลงโทษผู้กระทำผิด (โรม13:4) ฝ่ายปกครองให้ความสำคัญกับการคุ้มครองชีวิตของผู้คนมากกว่า การยืนอยู่ฝ่ายอธรรมเป็นสิ่งที่ไม่ก่อให้ เกิดความรักและขาดความเป็นคริสตชน คงเหมือนกับการปล่อยให้คนชั่วได้ลอยนวลโดยปราศจากการตรวจสอบ และเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย

อย่างไรก็ตามในศีลธรรมส่วนตัวเราได้รับการบอกกล่าวทั้งจากทั้งพระเยซูและอัครสาวกเปาโลว่า อย่าแก้แค้น (มัทธิว 5:38–42; โรม 12:17–19) ทัศนคติของความรักและการให้อภัยนี้ไม่ได้เป็นการปฏิเสธความยุติธรรม แต่เป็นการแสดงออกถึงความไว้วางใจในความชอบธรรมสูงสุดของพระเจ้า (ดูโรม 12:19) เมื่อเราวางใจในความยุติธรรมของพระเจ้า เราจึงมีอำนาจที่จะเลียนแบบความรักของพระองค์ ดังที่ มิโรสลาฟ โวล์ฟ เขียนไว้ว่า ‘การยุติการใช้ความรุนแรง จำเป็นต้องอาศัยความเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษา’ เขาอธิบายว่าเมื่อเรารู้ว่า ‘ฝ่ายที่ทรมานผู้อื่นนั้นไม่มีทางที่จะมีชัยชนะเหนือฝ่ายที่ถูกกระทำได้ตลอดไป เราก็เริ่มมีอิสระที่จะมองเห็นความเป็นมนุษย์ในตัวพวกเขาเหล่านั้น และให้เราเลียนแบบพระเจ้าในการมอบความรักให้กับพวกเขา’

ความแตกต่างระหว่างศีลธรรมของเราเอง และของบ้านเมืองทำให้เกิดความตึงเครียดภายในตัวเราทุกคน พระบัญชาจากพระเยซูบอกให้เราทุกคนไม่ให้ตอบโต้หรือแก้แค้น เรายังเป็นพลเมืองของบ้านเมืองที่มีหน้าที่ในการป้องกันอาชญากรรม และนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะระงับความตึงเครียดนี้ แต่ทัศนคติของความรักเรียกร้องให้เราทำ แรงจูงใจของเราควรเป็นความรักและความยุติธรรมเสมอ ไม่ใช่การตอบโต้ หรือแก้แค้น ในทุกสถานการณ์เราต้องแสดงออกด้วยทัศนคติแห่งความรัก

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้รวมความกระหายในความจริง และความชอบธรรมเข้าด้วยกันกับทัศนคติของความรัก และความเมตตา

Pippa Adds

ลูกา 9:46–48

ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเขาจะกลับมาทุ่มเถียงกันอีกครั้งว่าใครจะยิ่งใหญ่ที่สุด อย่างน้อยพวกเขาก็ซื่อสัตย์ ในข้อ 48 ที่กล่าวว่า ‘คนที่เล็กน้อยที่สุดในพวกท่านคือคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด’ การถ่อมตนที่แท้จริงเป็นสิ่งที่สวยงามและสร้างแรงบันดาลใจ

References

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

About this Plan

พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2023 พร้อมด้วยคำอธิบายจาก นิคกี้และพิพพา กัมเบล

การเข้าใจพระคัมภีร์อาจเป็นเรื่องยาก ทำไมไม่ลองอ่านหรือฟังพร้อมกับคำอธิบายทุกวัน จากนิคกี้และพิพพา กัมเบล -ผู้บุกเบิกอัลฟ่า เริ่มวันนี้เลย!

More