พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2023 พร้อมด้วยคำอธิบายจาก นิคกี้และพิพพา กัมเบลSample

วิธีรับมือกับช่วงเวลาที่สิ้นหวัง
‘ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะมีหลายครั้งที่[หลักสูตรอัลฟ่า](https://thailand.alpha.org/)ได้ถูกจัดขึ้นในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงปืน และขีปนาวุธที่กำลังลอยล่องอยู่ แต่สำหรับเราทุกคนแล้วเหตุผลนั้นเรียบง่าย นี่เป็นเรื่องของความหวังและอนาคต เพราะนี่เป็นเรื่องพระเยซูคริสต์’ นี่คือสิ่งที่ แคนอน แอนดรูว์ ไวท์ อดีตศิษยาิบาล แห่งวิหารเซนต์จอร์จ ในกรุงแบกแดด ได้บอกเล่าถึง[หลักสูตรอัลฟ่า](https://thailand.alpha.org/) ผ่านข้อความในจดหมายมาถึงผม พวกเขาอยู่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง คริสตจักรถูกวางระเบิดมากกว่าหนึ่งครั้ง ผู้คนมากมายที่มาร่วมสามัคคีธรรมได้ถูกฆ่า ผู้นำบางคนถูกลักพาตัว สำหรับใครบางคน ความเชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างจริงจังอาจหมายถึงความตาย แต่ในขณะที่ทุกอย่างดูหมดหวัง แอนดรูว์ ไวท์ ยังคงสามารถพูดได้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ให้ความหวัง แสงสว่าง และอนาคต ในพระธรรมสดุดี กษัตริย์ดาวิดได้พูดถึง ‘ช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง’ (สดุดี 60:3) ชีวิตคนเราล้วนมีช่วงเวลาที่ทุกอย่างดูเหมือนจะผิดไปซะหมด บางทีแม้แต่ในขณะนี้คุณเองก็กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ดูหมดหวัง อาจจะเป็นเรื่องสุขภาพ ความเศร้าโศก หรือการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัส การแตกสลายของความสัมพันธ์ ปัญหาเรื่องการงานและครอบครัว ปัญหาการเงินหรือเรื่องทุกอย่างรวมกัน แต่ถึงแม้ในช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะสิ้นหวังคุณก็สามารถค้นพบ สัจธรรมอันยิ่งใหญ่สามประการนั่นคือความเชื่อ ความหวัง และความรักสดุดี 60:1-4
ความหวังท่ามกลางสถานการณ์ที่ดูเหมือนพ่ายแพ้
บางครั้งอาจดูเหมือนว่าคนของพระเจ้ากำลังเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ในขณะที่การฟื้นฟูอันยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้นในหลาย ๆ พื้นที่ของโลก เช่นทวีปเอเชีย หรือในยุโรปตะวันตก อัตราการเข้าร่วมของสมาชิกในคริสตจักรได้ลดลง คริสตจักรถูกปิดลงและความเชื่อของคริสเตียนถูกต้อนให้จนมุม
หลายครั้งที่ในประวัติศาสตร์ของคนของพระเจ้านั้นมีช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง พระธรรมสดุดีข้อนี้ คือเสียงคร่ำครวญของชนชาติหลังจากที่ถูกศัตรูของพวกเขาได้เข้ามายึดครอง เหล่าผู้คนของพระเจ้าต่างรู้สึกถึงการถูกปฏิเสธ ดาวิดได้กล่าวไว้ว่า ‘พระองค์ทรงให้ประชากรของพระองค์พบความลำบาก’ (ข้อ 3ก)
ดาวิดใช้ภาพของแผ่นดินไหว เพื่อบรรยายช่วงเวลาของความสิ้นหวัง และความไม่แน่นอนที่พวกเขากำลังเผชิญ: ‘พระองค์ทรงทำให้แผ่นดินหวั่นไหว ทรงให้มันแตกแยกออก ขอทรงซ่อมร่องแตกนั้นเพราะมันสั่นคลอน’ (ข้อ 2) เป็นภาพเดียวกับที่พวกเราในทุกวันนี้ มักใช้เพื่อสื่อถึงความวุ่นวาย ในทุกช่วงชีวิตของเรา ความไม่มั่นคงของเศรษฐกิจ สถาบันองค์กร ชีวิตแต่งงานและชุมชนทั้งหลาย ล้วนใช้ภาพของการสั่นสะเทือนและการแตกสลายเพื่อช่วยบรรยาย
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังคงมีความหวัง ดาวิดได้บันทึกไว้ว่า ‘พระองค์ทรงตั้งธงไว้ให้บรรดาผู้ที่ยำเกรงพระองค์ เพื่อเขาจะได้หนีพ้นระยะธนู’ (ข้อ 4) พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมพื้นที่เพื่อให้คนของพระองค์ได้ค้นพบที่ลี้ภัย เพื่ออยู่ภายใต้การปกป้องและสามารถที่จะวางใจในพระองค์ได้ ต่อให้ต้องอยู่ในช่วงเวลาที่สิ้นหวังก็ตาม
ขอบคุณพระเจ้า ที่แม้ในเวลาที่สิ้นหวัง ข้าพระองค์ยังสามารถลี้ภัยอยู่ใต้การปกป้องของพระองค์
ยอห์น 7:45-8:11
จงรักมากกว่าที่จะประณามกล่าวโทษ
การมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสเป็นสิ่งที่ยอมรับได้หรือไม่? ถ้าเป็นเราควรจะมีท่าทีอย่างไรต่อผู้ที่ทำผิดพลาดในเรื่องความบาปทางเพศ?
การถกเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องจริยธรรมทางเพศ ได้ดำเนินต่อมาอย่างแพร่หลายในสื่อทุกวันนี้ และคำสอนของพระเยซูคริสต์เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้เกิดขึ้นเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว
ถ้อยคำของพระเยซูคริสต์คือคำกล่าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา เป็นคำพูดที่คุณสามารถคาดหวังได้ว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าจะทรงตรัส ยามผู้เฝ้าพระวิหารได้เปิดเผยว่า ‘ไม่เคยมีใครพูดเหมือนอย่างคนนั้นเลย’ (ข้อ 7:46) (เป็นเรื่องที่น่าเศร้าว่าในบรรดาผู้นำทางความเชื่อต่างล้มเหลว ที่ไม่มีใครจดจำชายคนนี้ได้ และพวกเขาแค่ใช้คำกล่าวเรียกกลุ่มคนที่เชื่อในพระเจ้าว่า ‘ฝูงชน’ เท่านั้น, ข้อ 49)
ผู้หญิงคนนี้คงต้องรู้สึกสิ้นหวังอย่างแน่นอนที่ถูกจับกุมในข้อหาล่วงประเวณี ความสิ้นหวังสามารถเกิดจากความพ่ายแพ้ได้ และมันก็สามารถเกิดจากความล้มเหลวทางศีลธรรมได้ ซึ่งเธอคนนี้คงต้องมีชีวิตอยู่กับประสบการณ์ในทั้งสองด้านมาโดยตลอด เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ความอับอาย และความหวาดกลัวต่อความตาย
เหล่าผู้กล่าวหาพยายามที่จะ ‘ทดลอง’ พระเยซูคริสต์ด้วยการตั้งคำถาม (ข้อ 8:6) และพระเยซูก็ได้ทรงมอบหนึ่งในคำตอบที่ชาญฉลาดและน่าจดจำที่สุดซึ่งได้ถูกใช้เป็นคำกล่าวอ้างอิงตลอดมาในประวัติศาสตร์โลก: ‘ใครในพวกท่านไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก’ (ข้อ 7)
พระเยซูไม่ได้ให้อภัยการล่วงประเวณีของเธอคนนี้ หรือกล่าวถึงเรื่องนี้ว่าเป็นบาปที่อภัยให้ไม่ได้ พระองค์ทรงยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่าเป็นเรื่องง่ายแค่ไหนที่จะกล่าวโทษผู้อื่น ในขณะที่เราเองก็มีความบาปแบบเดียวกันในหัวใจของเรา (ข้อ 7-9) เรื่องนี้สามารถปรับใช้ได้ในหลาย ๆ ด้านของชีวิตเรา ก่อนที่จะตัดสินผู้อื่น เป็นการดีกว่าที่เราจะสำรวจตัวเองว่า เรานั้นไม่ได้มีบาปในเรื่องแบบเดียวกับที่เรากำลังจะตัดสินใครต่อใคร
เมื่อเราตัดสิน กล่าวโทษและประณามผู้อื่น เราได้เล็งไปที่พวกเขาในสิ่งที่เราเองปฏิเสธที่จะสำรวจตัวเรา
เหมือนคำกล่าวที่คนชอบพูดกันว่า ‘คนที่อาศัยอยู่ในบ้านที่ทำด้วยกระจกก็ไม่ควรที่จะเขวี้ยงหินไปมา’ ในบริบทของการถกเถียงกันเรื่องศีลธรรมทางเพศ หากเรามองเข้าไปในหัวใจของตนเองบ่อยครั้งเราจะได้เห็นกระจกรายล้อมอยู่รอบตัวเรา
ในกรณีของผู้หญิงคนนี้ที่ถูกจับในข้อหาล่วงประเวณี ผู้กล่าวโทษแต่ละคนได้ถูกตัดสินโดยถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ จนกระทั่งในที่สุดก็เหลือแต่พระองค์ที่ยืนอยู่ตรงนั้น (ข้อ 7-9) แล้วพระเยซูก็ถามเธอว่า ‘หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด? ไม่มีใครเอาโทษเธอหรือ?’ (ข้อ 10) นางทูลว่า ‘ท่านเจ้าข้า ไม่มีใครเลย’ แล้วพระเยซูตรัสว่า ‘เราก็ไม่เอาโทษเหมือนกัน จงไปเถิดและจากนี้ไปอย่าทำบาปอีก’ (ข้อ 11)
ความรู้สึกผิดเป็นอารมณ์ที่น่าสะพรึงกลัว การตกอยู่ในคำประณามกล่าวโทษเป็นสถานภาพที่น่าสะพรึงกลัว นับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ขนาดไหนที่ได้ยินถ้อยคำจากพระเยซูคริสต์ว่า ‘เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน’ (ข้อ 11) เพราะพระองค์ทรงปราศจากบาป พระเยซูคริสต์ทรงเป็นบุคคลซึ่งอยู่ในจุดที่สามารถจะ ‘เขวี้ยงหิน’ เราได้ แต่พระองค์ก็ไม่ทำ
มีความสมดุลอย่างเหนือธรรมชาติและแทบจะเป็นส่วนผสมที่โดดเด่น ในถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ เต็มไปด้วยพระคุณ สติปัญญา และความเมตตา ไม่ต้องสงสัยว่าสำหรับพระเยซูแล้ว การล่วงประเวณีคือความบาป แต่ถึงกระนั้น พระองค์ก็ไม่ได้ฟ้องผิดเธอในแง่มุมไหน นี่คือเนื้อความที่อยู่ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ‘เพราะฉะนั้นไม่มีการลงโทษคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์’ (โรม 8:1) ผลจากการที่พระเยซูทรงสละพระชนม์เพื่อเราบนไม้กางเขนทั้งคุณและผม สามารถได้รับการให้อภัยที่สมบูรณ์ ไม่ว่าที่ผ่านมาเราจะเคยล้มลงในบาปมากแค่ไหน
แต่ถึงกระนั้นนี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำบาปต่อไป พระเยซูไม่ได้เพิกเฉยต่อความบาปของเธอ พระองค์ตรัสกับเธอว่า ‘จากนี้ไปอย่าทำบาปอีก’ (ข้อ 11) พระเยซูไม่ได้เพิกเฉยต่อความบาปของเรา แต่พระองค์ทรงพูดกับเราเหมือนอย่างที่พูดกับเธอว่า ‘จากนี้ไปอย่าทำบาปอีก’
ถ้อยคำของพระเยซู ยังคงขับเคลื่อนไปด้วยความรักและความเมตตาอยู่เสมอ จงทำตามแบบอย่างของพระองค์
มันเป็นเรื่องง่ายที่เราจะทำได้ทั้งหนึ่งในสองทางซึ่งตรงกันข้ามกัน ไม่ว่าเราจะกล่าวโทษผู้อื่นหรือเราจะเพิกเฉยต่อความบาป ความรักจะไม่ประณามกล่าวโทษหรือละเลยเพิกเฉยต่อบาป เพราะความบาปชักนำผู้คนให้ต้องเจ็บปวด ถ้าเรารักเหมือนอย่างพระเยซูรัก เราจะปฏิเสธทั้งการเพิกเฉยต่อความบาปหรือกล่าวโทษผู้คน แต่จะท้าทายผู้คนด้วยความรัก (โดยเริ่มจากตัวเราเอง) ที่จะละทิ้งความบาปไว้เบื้องหลัง
ในคำศัพท์ของชาวกรีก คำว่า ‘การให้อภัย' นั้นยังให้ความหมายที่สื่อถึง ‘การปลดปล่อย’ ได้อีกด้วย พระเยซูคริสต์ทรงมาเพื่อปลดปล่อยเราโดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คุณได้ถูกปลดปล่อยไปสู่ความรักเมื่อพระเจ้าทรงรักคุณ การให้อภัยคือหัวใจสำคัญของทุก ๆ ความสัมพันธ์ มันคือแก่นแท้ของคำว่ารัก
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่ไม่มีการประณามกล่าวโทษสำหรับผู้ที่อยู่ในองค์พระเยซูคริสต์ ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงตายเพื่อทำให้ข้าพระองค์ได้รับการชำระล้างให้สะอาด การให้อภัย และการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ โปรดทรงช่วยข้าพระองค์ให้รักผู้อื่นได้เหมือนที่พระองค์ทรงรัก
ผู้วินิจฉัย 16:1-17:13
ความเชื่อท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย
ช่วงเวลาเหล่านี้คือความสิ้นหวัง มีความอัดอั้นที่คุกรุ่นอยู่ตลอดในหนังสือผู้วินิจฉัย ‘ในสมัยนั้นไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล ทุกคนก็ทำตามที่ตนเองเห็นชอบ’ (ข้อ 17:6) นี่คือช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย
ในช่วงเวลาที่สิ้นหวังเหล่านี้ พระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งผู้วินิจฉัยเหมือนเช่นแซมสัน เขาได้นำชนชาติอิสราเอลเป็นเวลา 20 ปี (ข้อ 16:31) แซนสันเคยเป็นหนึ่งในวีรบุรุษแห่งความเชื่อ (ฮีบรู 11:32)
เมื่อถูกแต่งตั้งโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าได้ทรงใช้เขาอย่างทรงพลัง อย่างไรก็ตาม เขาก็มีจุดอ่อนที่นำไปสู่การผิดศีลธรรม (การร่วมหลับนอนกับหญิงโสเภณี ในพระธรรมผู้วินิจฉัย 16:1-3) และถูกล่อลวง (ข้อ 4-10) จนในที่สุดเขาก็ได้ทำให้พระเจ้าทรงเหลืออดกับความดื้อรั้นไม่เชื่อฟังและ ‘พระยาห์เวห์...ทรงละท่านไปเสียแล้ว’ (ข้อ 20)
แซมสัน เคยได้รับพละกำลังที่เหนือธรรมชาติจากพระเจ้าแต่นั่นก็เกี่ยวข้องโดยตรงกับความเชื่อฟังของเขา พระเจ้าทรงเคยบอกห้ามเขาไม่ให้ตัดผมของตัวเอง ตราบใดที่เขายังเชื่อฟังพระเจ้าเขาก็จะยังคงมีพละกำลังที่เหนือธรรมชาติ
ต่อให้พระเจ้าทรงเป็นบุคคลที่เยี่ยมยอดอย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องจดจำให้ดีว่า พละกำลังนั้นมาจากพระเจ้าเพียงผู้เดียว พระเยซูทรงตรัสไว้ว่า ‘ถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย’ (ยอห์น 15:5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก New King James Version โดยผู้แปล) จงอย่ายึดติดกับชัยชนะในอดีตแต่ให้พึ่งพิงพระเจ้าผู้ทรงประทานสิ่งเหล่านี้ให้
หลังจากที่ถูกตามยั่วยวนอย่างไม่ลดละ แซมสันได้ยอมแพ้และบอกความลับของพละกำลังของเขาแก่นางเดลิลาห์ ถึงแม้ว่าในสายตาของเขาจะเห็นได้ชัดว่านางจะต้องฉวยโอกาสกับเขาในภายหลัง แล้วเดลิลาห์ก็ได้ตัดผมของเขาและพละกำลังของเขาก็ได้หมดไป
ไม่ใช่มีแต่เพียงปัญหาวุ่นวายในสังคม แต่แซมสันเองก็มาถึงจุดที่สิ้นหวังในชีวิตของเขา เขาถูกจับกุม ถูกทำให้ตาบอดและเกือบถูกผู้คุมนำไปประจาน (ผู้วินิจฉัย 16:21-25)
ท่ามกลางความสิ้นหวังของเขา แซมสันได้อธิษฐานต่อพระเจ้า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ ขอประทานกำลังแก่ข้าพระองค์ครั้งนี้อีกครั้งเดียว’ (ข้อ 28) และพระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานโดยความเชื่อของเขา แม้กระทั่งหลังจากความล้มเหลวนับไม่ถ้วนของเขา พระเจ้ายังคงตอบคำคร่ำครวญของแซมสัน ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นแบบไหนและไม่ว่าคุณจะเคยทำอะไรมา ไม่เคยมีคำว่าสายไปสำหรับการกลับมาหาพระเจ้า
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่ข้าพระองค์ได้ค้นพบที่ลี้ภัยในการทรงสถิตของพระองค์ และที่พระองค์ทรงฟังคำกู่ร้องขอการช่วยกู้อย่างสิ้นหวังของข้าพระองค์อยู่เสมอ โอ้พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ด้วย!
Pippa Adds
ผู้วินิจฉัย 16:1-17:13
แซมสันเคยเป็นผู้นำที่เหนือธรรมชาติ เขาเหมือน ดิ อินคริเดเบิ้ล ฮัลค์ ที่มีรสนิยมเรื่องผู้หญิงที่แย่
เขาตกหลุมรักเดลิลาห์ และเธอคือผู้หญิงไร้หัวใจ เธอพร้อมที่จะทรยศผู้ชายที่รักเธอ ทำไมแซมสันถึงยังบอกความลับของเขากับเธอ หลังจากที่เธอได้ทรยศเขามาแล้วถึงสามครั้ง? เขาควรจะรู้สิว่าเธอไม่ใช่คนที่เชื่อถือได้ เขามีร่างกายภายนอกที่เข้มแข็ง แต่กลับอ่อนแอเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิง และแซมสันก็ไม่ใช่ผู้นำที่ยิ่งใหญ่เพียงคนเดียวที่ต้องล้มเหลวลงเพราะเรื่องผู้หญิง
References
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)About this Plan

การเข้าใจพระคัมภีร์อาจเป็นเรื่องยาก ทำไมไม่ลองอ่านหรือฟังพร้อมกับคำอธิบายทุกวัน จากนิคกี้และพิพพา กัมเบล -ผู้บุกเบิกอัลฟ่า เริ่มวันนี้เลย!
More
Related Plans

Never Alone

When You Feel Like Roommates: 4 Day Plan to Help You Love (And Like) Your Spouse for Life

Two-Year Chronological Bible Reading Plan (First Year-January)

Simon Peter's Journey: 'Grace in Failure' (Part 1)

Everyday Prayers for Christmas

The Holy Spirit: God Among Us

You Say You Believe, but Do You Obey?

The Bible in a Month

Sharing Your Faith in the Workplace
