พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2023 พร้อมด้วยคำอธิบายจาก นิคกี้และพิพพา กัมเบลSample

หาความสมดุลของคุณให้พบ
ครูฝึกออกกำลังส่วนตัวบอกผมว่า ร่างกายของผมยืดหยุ่นน้อยมาก เขาสังเกตเห็นจากวิธีที่ผมเดิน ว่ากรณีของผมเป็นหนึ่งในกรณีตัวแข็งที่แย่ที่สุดที่เขาเคยพบมา ตอนนี้ผมพยายามยืดเหยียดกล้ามเนื้อให้มากขึ้น! ผมคิดว่าตัวเองมีสุขภาพดีสำหรับช่วงอายุของผม เพราะผมยังคงเล่นสควอช และปั่นจักรยานไปทุกที่ แต่ถ้ามองในอีกหลาย ๆ ด้าน ผมก็ได้พบว่าสุขภาพผมนั้นไม่ดีนัก การดูแลความพร้อมในฝ่ายกายภาพเป็นความสมดุลแห่งพละกำลัง ความยืดหยุ่น การออกกำลังกายทั้งแบบแอโรบิค และแอนแอโรบิค บางคนนั้นแข็งแรงมากแต่ไม่สามารถที่จะวิ่งให้ทันรถประจำทางได้ หลายคนสามารถออกกำลังกายแบบแอโรบิคได้ดี หมายถึงพวกเขาสามารถวิ่งมาราธอนได้ แต่กลับไม่ค่อยแข็งแรง อย่างไรก็ตาม ความพร้อมในฝ่ายจิตวิญญาณนั้นสำคัญยิ่งไปกว่าความพร้อมในฝ่ายกายภาพ ซึ่งมันรวมไปถึงจุดสมดุลของด้านต่าง ๆ ในชีวิตของคุณสุภาษิต 29:19-27
ความถ่อมใจและความมั่นใจ
ผมพบว่า ยากที่จะรักษาความสมดุลระหว่างความถ่อมใจ และความมั่นใจ มีหลายช่วงเวลาในชีวิตของผมเมื่อผมนั้นมีความถ่อมใจ (บางครั้งอาจจะมาจากความล้มเหลวในบางเรื่อง) และรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ และมีอีกหลายครั้งที่ผมรู้สึกมั่นใจอย่างมาก แต่ก็อาจจะขาดความถ่อมใจไป
มีหลายสิ่งที่เราจะได้ใคร่ครวญกันในบทของวันนี้ในพระธรรมสุภาษิตเกี่ยวกับการที่เราจะไม่พูดก่อนคิด (ข้อ 20) การควบคุมความโกรธและอารมณ์ร้อน (ข้อ 22) และการไว้วางใจพระเจ้าว่าพระองค์คือแหล่งแห่งความยุติธรรมสูงสุด (ข้อ 26)
ผมได้เห็นจุดสมดุลระหว่างความถ่อมใจและความมั่นใจอย่างเจาะจง ‘ความหยิ่งของคนนำให้เขาต่ำลง แต่คนถ่อมตัวจะได้รับเกียรติ’ (ข้อ 23, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) นี่เป็นสิ่งที่ดูขัดแย้งกันในพระธรรมสุภาษิต (11:2, 18:12, 21:4, 22:4)
จงมีความมั่นใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าใช้ชีวิตในความกลัวในสิ่งที่ผู้อื่นอาจจะคิดหรือทำ ‘การกลัวคนได้วางบ่วงไว้ แต่คนที่วางใจในพระยาห์เวห์ก็ปลอดภัย’ (29:25)
สิ่งสำคัญที่จะรักษาความสมดุลนี้ไว้ได้ คือ หลีกเลี่ยงความมั่นใจในตัวเองและฝึกฝนที่จะถ่อมใจด้วยความมั่นใจในพระเจ้า คุณควรต้องแน่ใจว่า ความมั่นใจของคุณนั้นมาจากความไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่จากความสามารถหรือความสำเร็จของตนเอง
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ที่จะมีความมั่นใจจากความไว้วางใจในพระองค์ เพื่อจะไม่กลัวต่อมนุษย์คนใด และที่จะเดินอย่างถ่อมใจต่อพระองค์
2 ยอห์น 1:1-13
ความจริง และความรัก
นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะรักษาสมดุล ความรักกลายเป็นสิ่งที่นุ่มนวลเกินไปหากปราศจากความจริงที่เข้ามาช่วยเติมความเข้มแข็ง และความจริงจะเป็นสิ่งที่แข็งกร้าวเกินไปหากปราศจากความรักที่เข้ามาเติมความอ่อนโยน มีบางครั้งในชีวิตผมที่มีความจริงจังเกี่ยวกับ ‘ความจริง’ แต่ไม่ค่อยมีความรักอยู่ด้วย และมีอีกหลายครั้งที่ผมพยายามที่จะมีความรักอย่างเต็มที่ แต่กลับพบว่าล้มเหลวที่จะสนใจ ‘ความจริง’ อย่างเพียงพอ
ในจดหมายฉบับที่สองของยอห์น (อาจจะเขียนถึงคริสตจักรโดยการใช้คำว่า ‘สุภาพสตรีที่ทรงเลือก’, ข้อ 1) เขาเตือนผู้คนเกี่ยวกับอันตรายของคำสอนผิดที่ปฏิเสธความจริงว่าพระเยซูได้เสด็จมาบนโลกใบนี้ในสภาพมนุษย์และพระองค์ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์อย่างสมบูรณ์ ยอห์นเตือนถึงจุดสมดุลอันงดงาม ‘ในความจริงและในความรัก’ (ข้อ 2) แน่นอนที่สุด เขาผสมสองสิ่งนี้เข้าด้วยกันแม้ในการทักทาย
เขาเขียนว่า ‘จากข้าพเจ้าผู้ปกครอง ซึ่งรักท่านอย่างแท้จริง และไม่ใช่แต่ข้าพเจ้าเท่านั้น ทุกคนที่รู้จักความจริงที่อยู่ถาวรในเราก็รักท่านด้วย’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เพราะเขารักบรรดาคนเหล่านั้น เขาปรารถนาที่จะพบกับพวกเขาและ ‘พูดคุยกันด้วยหัวใจถึงหัวใจ’ (ข้อ 12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) การเขียนจดหมาย อีเมล์ ข้อความ โทรศัพท์ วอตส์แอพ และแม้กระทั่งซูมหรือเฟซไทม์นั้น ไม่สามารถทดแทนการพบปะกันแบบ ‘หน้าต่อหน้า’ ได้ (ข้อ 12) รวมถึงการพูดคุยกันด้วยหัวใจถึงหัวใจ
เขาเตือนทุกคนให้ ‘รักกันและกัน’ (ข้อ 5) และที่จะ ‘ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ด้วยความรัก’ (ข้อ 6) ความรักควรเป็นเป้าหมายแห่งชีวิตของเรา จงศึกษาและพูดคุยเกี่ยวกับความรัก และประพฤติปฏิบัติด้วยความรัก
การทดสอบแห่งความรักคือการเชื่อฟังพระเยซู ‘ความรักคือการที่เราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ ที่คุณจะดำเนินและใช้ชีวิตในความรัก’ (ข้อ 6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ความจริงและความรักนั้นไม่ได้ต่อต้านกันและกัน แต่สนับสนุนกันและกันได้เป็นอย่างดี ยอห์นนั้นมีความปีติยินดีอย่างยิ่งที่ได้พบว่าคริสตจักรนี้ ‘ดำเนินชีวิตตามความจริง’ (ข้อ 4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ความจริงนั้นมีความสำคัญอย่างมาก ความจริงนั้นพบได้ในบุคคล พระเยซูตรัสว่า ‘เราเป็น..ความจริง’ (ยอห์น 14:6) จงใส่ใจที่จะฟังความจริง สอนความจริง และรักในความจริง
มีผู้ล่อลวงจำนวนมากออกมาในโลก (2 ยอห์น 1:7-8) จงยึดมั่นในความจริงและอย่าถูกล่อลวงให้หลงเจิ่นไป
การที่เรารู้จักความจริงและยึดมั่นในความจริง และอยู่ในคำสอนนี้เราจะ ‘มีทั้งพระบิดาและพระบุตร’ (ข้อ 9)
ในข้อต่อไปนี้อาจฟังดูไม่ค่อยจะเต็มไปด้วยความรักสักเท่าใดนัก ‘ถ้าใครมาหาท่านและไม่นำคำสั่งสอนนี้มาด้วย อย่ารับเขาไว้ในบ้าน และอย่าทักทายเขาเลย เพราะว่าผู้ที่ทักทายเขา ก็มีส่วนร่วมในการทำชั่วของเขา’ (ข้อ 10-11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) อันที่จริงแล้ว ความเอาจริงเอาจังของยอห์นที่มีต่อความจริงงอกออกจากความรักของเขาที่มีต่อคริสตจักรนี้ เพราะเขารักคนเหล่านั้น เขาจึงไม่เต็มใจที่จะทนต่อคำสอนเท็จ ครูผู้สอนผิดจะพยายามพาท่านออกไป แต่ ‘อย่าสูญเสียสิ่งที่ท่านทำมาแล้ว ’ (ข้อ 8)
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์รักษาความสมดุลระหว่างความจริงและความรัก และที่จะ ‘พูดความจริงด้วยความรัก’ เสมอ (เอเฟซัส 4:15)
ฮักกัย 1:1-2:23
วิสัยทัศน์ และการลงมือปฏิบัติ
ครั้งหนึ่ง ที่ปรึกษาฝ่ายบริหารระดับสูงบอกผมว่า ‘ไม่มีผู้บริหารท่านใดเคยถูกไล่ออกเพราะขาดวิสัยทัศน์’ แต่หลายคนไม่สามารถที่จะนำวิสัยทัศน์มาสู่การลงมือปฏิบัติได้
นิมิตไม่เกิดขึ้น จนกว่าคุณจะลงมือทำ ในพระธรรมฮักกัยเล่มสั้นๆ นี้ เราได้เห็นจุดสมดุลอันอัศจรรย์ระหว่างนิมิต และการลงมือปฏิบัติ
มีอยู่ 5 ครั้งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์จอมทัพตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะฮักกัย ‘จงพิจารณา’ (1:5,7, 2:15 และอีกสองครั้งใน 2:18) นิมิตเริ่มต้นจากการคิด โดยจับเอาภาพในความคิดของเราออกมาสู่สิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้
จงเรียงลำดับความสำคัญให้ถูกต้อง ฮักกัยได้ท้าทายประชากรของพระเจ้าเรื่องการเรียงลำดับความสำคัญ พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านอย่างสุขสบาย ในขณะที่พระนิเวศของพระเจ้าถูกทิ้งให้พังทลายลงเรื่อย ๆ (1:4) แต่คนเหล่านั้นยังพูดว่า ‘ยังไม่ถึงเวลาที่จะสร้างพระนิเวศของพระยาห์เวห์’ (ข้อ 2)
ประชาชนได้ตัดสินใจที่จะรื้อสร้างพระนิเวศขึ้นใหม่ พวกเขามีความตั้งใจที่ดี แต่ทำไม่สำเร็จเพราะสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญในชีวิตของพวกเขา
ผู้เผยพระวจนะฮักกัยเตือนให้พวกเขาคิดอย่างรอบคอบ เรื่องวิถีชีวิตของพวกเขา (ข้อ 5) ความสนใจหลักของพวกเขาควรจะเป็นการที่ได้เห็นพระนามพระเจ้าได้รับเกียรติ (ข้อ 8) แต่พวกเขากลับทิ้งให้พระนิเวศของพระเจ้านั้น ‘ผุพัง’ (ข้อ 4,9)
ยูจีน ปีเตอร์สัน เขียนไว้ว่า ‘มีบางเวลาในชีวิตของเราที่จะใช้ในการซ่อมแซมอาคารที่เราใช้นมัสการ เพราะสิ่งนี้คือการแสดงออกของความเชื่อฟัง ทุก ๆ สิ่งที่เราลงมือทำในการซ่อมแซมนี้นั้น มีความสำคัญพอ ๆ กับการอธิษฐานในสถานที่แห่งการนมัสการ’
มีบางคนที่มีความเศร้าใจว่าพระนิเวศใหม่นั้นไม่งดงามเทียบเท่ากับของเดิม องค์พระผู้เป็นเจ้าพูดกับบรรดาคนเหล่านั้นผ่านผู้เผยพระวจนะฮักกัยว่า ‘ในพวกเจ้าที่เหลืออยู่มีใครบ้างที่เคยเห็นพระนิเวศนี้ประกอบด้วยศักดิ์ศรีเมื่อครั้งก่อน และบัดนี้พวกเจ้าเห็นเป็นอย่างไร มองดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรเลยใช่ไหม ..จงเข้มแข็งเถิด เพราะเราอยู่กับเจ้า..และวิญญาณของเราดำรงอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า ศักดิ์ศรีของพระนิเวศหลังนี้จะยิ่งใหญ่กว่าหลังก่อน และในสถานที่นี้ เราจะให้สันติสุข’ (2:3-5,9)
นี่เป็นข้อพระคัมภีร์ซึ่งพระเจ้าตรัสผ่านแซนดี้ มิลลาร์ และคนอื่น ๆ เกี่ยวกับจตุรัสออนสโลว์ของคริสตจักรโฮลี่ ทรินิตี้ บรอมพ์สตั้น ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1981 เมื่ออาคารคริสตจักรกำลังจะถูกปิดลง และขายให้แก่นักพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ มันเป็นหัวข้อแห่งปี 2010 ของการนมัสการเทศกาลขอบคุณพระเจ้าในการเฉลิมฉลองครบรอบ 150 ปีของคริสตจักร และการเปิดใหม่อีกครั้งอย่างเป็นทางการ ภายหลังจาก 3 ปีแห่งการบูรณะซ่อมแซม
ตอนนี้ มันเป็นศูนย์กลางที่เจริญรุ่งเรืองสำหรับหลักสูตรคู่สมรส และหลักสูตรชีวิตครอบครัวอื่น ๆ อีกทั้งยังมีคนรุ่นใหม่หลายร้อยคนนมัสการพระเยซูที่นั่นในทุก ๆ วันอาทิตย์ คำอธิษฐานและความหวังสำหรับอนาคตก็คือ ‘ศักดิ์ศรีของพระนิเวศหลังนี้จะยิ่งใหญ่กว่าหลังก่อน’ (ข้อ 9)
ในพระธรรมฮักกัย เราได้เห็นวิสัยทัศน์นี้ “เจ้าทั้งหลาย จงทำงานเถิด พระเจ้ากำลังตรัสว่า ‘จงทำงานเถิด’ (ข้อ 4) ดังนั้นงานจึงเริ่มต้นขึ้น (1:14)
เมื่อคุณมองไปรอบ ๆ คริสตจักรในชนชาติของคุณ โปรดพิจารณาดูให้ดี มันไม่ถูกต้องที่เราจะอยู่อย่างสะดวกสบาย ในขณะที่พระนิเวศของพระเจ้านั้นยังคง ‘ผุพัง’ พระเจ้าปรารถนาให้ประชากรของพระองค์ในชนชาติของคุณได้มารู้จักพระองค์ และเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรของพระองค์ ลองนึกภาพดูว่า พระเจ้าจะสามารถได้รับพระเกียรติมากขึ้นเพียงใดในคริสตจักรของพระองค์ในวันนี้มากกว่าที่พระองค์ทรงได้รับมาแล้วในอดีต (2:9)
ประการแรก ‘จงเข้มแข็งเถิด’ (ข้อ 4) อย่าอ่อนแอในการที่จะจัดการปัญหาเพียงเพราะถูกจู่โจม หรือถูกวิพากษ์วิจารณ์ หรือเพราะความท้อแท้ ประการที่สอง ‘ทำงาน' (1:14, 2:4) มันคืองานที่หนักแต่นั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดา มีบางช่วงเวลาในชีวิตที่คุณจำเป็นต้องทำงานอย่างหนักหน่วง ประการที่สาม ‘อย่ากลัวเลย’ (ข้อ 5) แม้จะมีสิ่งที่เป็นเหตุที่ทำให้คุณต้องหวาดกลัว
คุณสามารถไว้วางใจพระเจ้าได้ในเรื่องการเงิน องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘เงินเป็นของเรา และทองก็เป็นของเรา’ (ข้อ 8)
ใจความสำคัญคือ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เราอยู่กับเจ้าทั้งหลาย..และวิญญาณของเราดำรงอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า’ (1:13, 2:5) คุณสามารถเอาชนะความหวาดกลัวทั้งสิ้นของคุณได้ เพราะคุณรู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่กับคุณ
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้หาสมดุลของความถ่อมใจและความมั่นใจให้พบ รวมถึงด้านความจริงและความรัก ด้านวิสัยทัศน์ และการลงมือปฏิบัติ ที่จะไว้วางใจว่าพระองค์ทรงอยู่กับเราทั้งหลาย และที่จะทำงานหนัก เพื่อได้เห็นพระนามของพระองค์ได้รับเกียรติ
Pippa Adds
ฮักกัย 1:7,9
‘จงพิจารณาความเป็นอยู่ของพวกเจ้า …พระนิเวศของเรา… พังทลายอยู่ ส่วนพวกเจ้าต่างก็ยุ่งอยู่กับเรื่องบ้านของตัวเอง’
มีหลายอย่างที่ต้องทำในการดูแลบ้าน การแทนสิ่งที่พังด้วยของใหม่ เปลี่ยนหลอดไฟ ซักล้าง ทำความสะอาด จัดให้เป็นระเบียบ และอื่น ๆ อีกมากมาย ฉันมั่นใจว่าพระเจ้าปรารถนาให้เราดูแลบ้านของเราเป็นอย่างดี แต่พระคัมภีร์ข้อนี้ได้เตือนใจฉันว่าต้องใส่ใจกับพระนิเวศอย่างเท่าเทียมกัน มีหลายคริสตจักรที่อยู่ในภาวะย่ำแย่ในการซ่อมแซมพระนิเวศ และไม่คู่ควรกับองค์จอมกษัตริย์เหนือกษัตริย์
References
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)About this Plan

การเข้าใจพระคัมภีร์อาจเป็นเรื่องยาก ทำไมไม่ลองอ่านหรือฟังพร้อมกับคำอธิบายทุกวัน จากนิคกี้และพิพพา กัมเบล -ผู้บุกเบิกอัลฟ่า เริ่มวันนี้เลย!
More
Related Plans

The Holy Spirit: God Through Us

BE a PILLAR

Journey Through Esther

Fatherless No More: Discovering God’s Father-Heart

The Creator's Battle: Winning the Inner War for Your Art

When Tithing Feels Impossible: 3 Truths That Free You From Financial Guilt

What Is "The Way of Christ?"

Read the Bible Effectively

When You Are the Problem: The Courage to Look in the Mirror When Your Church Is in Crisis
