พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2023 พร้อมด้วยคำอธิบายจาก นิคกี้และพิพพา กัมเบลSample

เปลี่ยนโฉมฝ่ายวิญญาณ
คุณพ่อรานิเอโร กันตาลาเมสซา นักเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปา อายุ 81 ปี ได้กรุณามากล่าวปราศรัยในการประชุมผู้นำของเราที่ รอยัล อัลเบิร์ต ฮอลล์ หลายคนแสดงความคิดเห็นว่าใบหน้าและดวงตาของท่านเปล่งประกายด้วยรัศมีแห่งการประทับอยู่ของพระเจ้า ครั้งหนึ่งท่านอยู่บนรถไฟในอิตาลีเมื่อผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าเข้ามาหาท่าน และพูดว่า ‘*ใบหน้าของท่าน ทำให้ฉันต้องเชื่อ*’ มีคนกล่าวว่า ‘เราไม่สามารถควบคุมความงามของใบหน้าได้ แต่เราสามารถควบคุมการแสดงออกของใบหน้าได้’ จากตัวอย่างนี้ คุณสามารถบอกอะไรได้มากมายด้วยการดูจากตา และใบหน้าของผู้คน เราพูดว่า ‘คุณควรจะได้เห็น*ใบหน้าของพวกเขา*’ ดังสุภาษิตละตินโบราณกล่าวว่า ‘ใบหน้าคือเครื่องบ่งชี้ของจิตใจ’ ‘ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ’ เช่นกัน เมื่อเราต้องการใครสักคนที่รับฟังและเชื่อเราจริง ๆ เราพูดกับคนนั้นว่า *‘มองตาฉัน’* พระคัมภีร์กล่าวไว้มากมายเกี่ยวกับใบหน้า และดวงตาสดุดี 104:19-30
พระพักตร์ของพระเจ้า
มีความหิวกระหายฝ่ายวิญญาณในหัวใจของเราซึ่งมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ดับกระหายได้ เพลงสดุดีเต็มไปด้วยความปรารถนาอยากจะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า และความปรารถนาอยากจะอยู่ในที่ประทับของพระเจ้า นี่คือคำอธิบายโดยใช้ภาษาของความสัมพันธ์ของมนุษย์ ‘มอง’ หาพระเจ้าและแสวงหา ‘พระพักตร์’ ของพระองค์ ‘สิ่งทั้งหมดนี้แหงนหาพระองค์… เมื่อพระองค์ซ่อนพระพักตร์เสีย มันก็ลำบากใจ… เมื่อพระองค์ทรงส่งลมหายใจของพระองค์ออกไป มันก็ถูกสร้างขึ้นมา’ (ข้อ 27–30)
ผู้เขียนสดุดีเปรียบเทียบความพึงพอใจที่มาจากการมองพระพักตร์ของพระเจ้ากับความลำบากใจเมื่อพระองค์ซ่อนพระพักตร์ไปจากเรา ความบาปสร้างกำแพงกั้นระหว่างเรากับพระเจ้า เมื่ออาดัมและเอวาทำบาป พวกเขาไม่สามารถมองพระเนตรของพระเจ้าได้อีกต่อไป พวกเขาซ่อนตัวจากพระองค์ พวกเขาถูกถอดออกจากพระพักตร์ของพระองค์ พระเจ้าซ่อนพระพักตร์จากพวกเขา พวกเขาก็หวาดกลัว
สิ่งที่ตรงกันข้ามเมื่อเราสามารถมองพระพักตร์พระเจ้าได้คือ ‘สิ่งทั้งหมดนี้มองอย่างคาดหวัง เพื่อให้พระองค์ประทานอาหารแก่มันตามเวลา... เมื่อพระองค์แบพระหัตถ์ออก มันก็อิ่มหนำด้วยของดี’ (ข้อ 27, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) สิ่งนี้เป็นจริงไม่เพียงแต่กับอาหารทางกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอาหารฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าประทานแก่เราด้วย
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอบพระคุณที่เมื่อข้าพระองค์มองดูพระองค์ พระองค์ทรงแบพระหัตถ์ของพระองค์และทำให้ข้าพระองค์อิ่มหนำด้วยของดี ขอทรงยกโทษบาปของข้าพระองค์ และอย่าปิดบังพระพักตร์ของพระองค์จากข้าพระองค์
2 โครินธ์ 3:7-18
ใบหน้าของเรา
ใบหน้าของเราควรจะเปล่งประกายยิ่งกว่าใบหน้าของโมเสส ใบหน้าของ ‘โมเสสขณะที่นำแผ่นศิลานั้นเต็มไปด้วยรัศมี (ถึงแม้จะจางหายไปในไม่ช้าก็ตาม) ทำให้ชาวอิสราเอลไม่สามารถเพ่งดูใบหน้าของโมเสสได้ยิ่งกว่าการจ้องมองที่ดวงอาทิตย์’ (ข้อ 7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
พันธกิจของพันธสัญญาเดิมนั้นดี ‘คือตามตัวอักษรที่จารึกไว้บนแผ่นศิลา’ แต่ก็มา ‘ด้วยรัศมี’ (ข้อ 7) โมเสสมองดูพระพักตร์ของพระเจ้าและด้วยเหตุนี้ใบหน้าของเขาจึงเต็มไปด้วยรัศมี (อพยพ 34:29 เป็นต้นไป) โมเสสต้อง “เอาผ้าคลุมไว้บนใบหน้า เพื่อไม่ให้ชนชาติอิสราเอลเพ่งดูการสิ้นสุดของรัศมีที่ค่อย ๆ จางหายไปนั้น” (2 โครินธ์ 3:13)
แม้ว่าพันธกิจแห่งพันธสัญญาเดิมนั้นดี แต่แท้จริงแล้ว ‘ทำให้ตาย’ (ข้อ 7) เราไม่สามารถ (ด้วยตัวของเราเอง) ที่จะรักษาธรรมบัญญัติของพระเจ้าที่ถูกเขียนเอาไว้ เราทำบาป และ ‘ค่าจ้างของความบาปคือความตาย’ (โรม 6:23)
เปาโลยังคงเปรียบเทียบพันธกิจแห่งพันธสัญญาเดิมกับพันธกิจของพระวิญญาณ การปรนนิบัติตามพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมนั้นดี (2 โครินธ์ 3:7) อย่างไรก็ตาม การปรนนิบัติตามพระวิญญาณนั้นยิ่งใหญ่กว่าและยั่งยืนยิ่งกว่าเดิม (ข้อ 9–11)
การปรนนิบัติตามพันธสัญญาเดิมเกี่ยวข้องกับโมเสสที่สวมผ้าคลุมหน้า ไม่ได้ถูกเปิดออก เปาโลกล่าวว่าแม้แต่ทุกวันนี้ผู้คนก็ยังไม่เห็นหรือเข้าใจจริง ๆ ว่า ‘ความคิดของพวกเขามืดมัวไป’ (ข้อ 14) แต่ถ้าใครหันมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ผ้าคลุมนั้นก็จะถูกเปิดออก (ข้อ 16)
นี่เป็นประสบการณ์ของผม ผมเคยได้ยินคนอ่านพระคัมภีร์ และพูดถึงความเชื่อของคริสเตียน แต่ผมไม่เข้าใจว่าเขาพูดถึงอะไร มันไม่สมเหตุสมผลสำหรับผมเลย ดวงตาฝ่ายวิญญาณของผมมืดบอด ทันทีที่ผมหันไปหาพระเจ้า มันราวกับว่าผ้าคลุมถูกถอดออกไป ผมมองเห็นและเข้าใจ
เปาโลยังคงเขียนบางสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง: ‘และเมื่อพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยพระองค์เอง พระวิญญาณแห่งชีวิต กฎเก่า ๆ ที่รัดกุมนั้นก็ถือว่าล้าสมัยแล้ว เราเป็นอิสระจากสิ่งนี้! เราทั้งหมด! ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นระหว่างเรากับพระเจ้า ใบหน้าของเราเปล่งประกายด้วยความสว่างแห่งพระพักตร์ของพระเจ้า เราจึงกลายร่างเหมือนพระเมสสิยาห์ ชีวิตเราค่อยๆ สว่างขึ้นและสวยงามขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพระเจ้าเข้ามาในชีวิตเรา และเราก็เป็นเหมือนพระองค์’ (ข้อ 17–18, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ทั้งสามพระภาคมีการทำงานร่วมกัน สง่าราศีของพระเจ้า (พระบิดา) ปรากฏในพระพักตร์ของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระเยซูและพระวิญญาณบริสุทธิ์มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดจนเปาโลสามารถเขียนได้ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระวิญญาณ… พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ (ข้อ 17–18) พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพระวิญญาณของพระเยซู (กิจการ 16:7)
พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้านำเสรีภาพเข้ามาในชีวิต เสรีภาพจากการประพฤติตามธรรมบัญญัติ ความรู้สึกผิด ความละอาย การฟ้องผิด ความเกลียดชังตนเอง และการปฏิเสธตนเอง เป็นอิสระจากอำนาจของความบาป ความเห็นแก่ตัว การถูกควบคุม เป็นอิสระจากความกลัวความตาย และความกลัวในสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับเรา อิสระจากการเปรียบเทียบตัวเรากับผู้อื่น
คุณมีอิสระที่จะรู้จัก รัก และรับใช้พระเจ้า คุณมีอิสระที่จะใช้ชีวิต และพลังของคุณเพื่อรักผู้อื่น คุณมีอิสระที่จะเป็นตัวของตัวเอง คุณสามารถเข้าหาพระเจ้าด้วยความกล้าหาญ (2 โครินธ์ 3:12) คุณไม่จำเป็นต้องปิดบังใบหน้าของคุณ
ในขณะที่คุณมองดูพระพักตร์ของพระเยซู พระองค์จะทรงเปลี่ยนคุณให้เป็นเหมือนพระองค์ การเปลี่ยนแปลงจะค่อยเป็นค่อยไป ‘โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป’ (ข้อ 18) เมื่อคุณใช้เวลากับผู้อื่น คุณมักจะเป็นเหมือนเขามากขึ้น ผู้คนต่างเพ่งดูคนมีชื่อเสียงและเลียนแบบกิริยาท่าทาง และรูปลักษณ์ของพวกเขา หากคุณใช้เวลากับพระเยซู คุณก็จะเปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายของพระองค์
คุณอาจเห็นใบหน้าของคนนับพันต่อวัน พระฉายนั้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่พระวิญญาณทรงเปิดเผยใบหน้าที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา เมื่อคุณใช้เวลาในการทรงสถิตของพระเจ้า คุณจะเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้นเรื่อย ๆ คุณจะถูกเปลี่ยนไปเป็นเหมือนกับพระองค์ในศักดิ์ศรีที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นพระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์สำหรับสิทธิพิเศษอันยิ่งใหญ่นี้ ที่ข้าพระองค์สามารถเข้าหาพระองค์อย่างมีเสรีภาพและด้วยความกล้าหาญ ขอบพระคุณที่ข้าพระองค์สามารถมองเข้าไปในพระพักตร์ของพระองค์ และสะท้อนสง่าราศีของพระองค์ในโลก ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ในวันนี้ที่จะเพ่งมองดูที่พระองค์
2 พงศาวดาร 35:20-36:23
พระเนตรของพระเจ้า
พระเนตรของพระเจ้าเห็นทุกสิ่งที่คุณทำ แม้แต่คำพูดและความคิด เราสามารถหนีจากสายตามนุษย์ได้ แต่เราไม่สามารถหนีจากสายพระเนตรของพระเจ้าได้
ประวัติศาสตร์ที่น่าเศร้าของประชากรของพระเจ้ายังคงดำเนินต่อไปในพระธรรมตอนนี้ ธรรมชาติของมนุษย์ไม่เปลี่ยนแปลง มีการสู้รบ การทะเลาะวิวาท และสงคราม (35:20–21) โยสิยาห์ได้ส่งต่อบัลลังก์ต่อกษัตริย์ที่ไม่ทำตามแบบอย่างที่ดีของเขา เยโฮอาคิม เยโฮยาคีน (บุตรชายของเขา) และ เศเดคียาห์ (อาของเยโฮยาคีน) ล้วน “ทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์” (36:5, 9, 12)
ปัญหาของเศเดคียาห์ก็เหมือนกับคนอื่น ๆ คือเขา “พระทัยแข็งกระด้าง โดยไม่หันไปหาพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล” (ข้อ 13) การปฏิเสธที่จะยอมลงต่อพระพักตร์พระเจ้า การทำใจให้แข็งกระด้างเป็นวิธีที่เราจะปฏิเสธการทำงานพระวิญญาณบริสุทธิ์
‘พระเจ้า… ทรงกล่าวโดยทูตของพระองค์อย่างไม่หยุดยั้ง เพราะพระองค์ทรงเมตตาสงสารประชากรและที่ประทับของพระองค์ พระองค์ทรงต้องการให้โอกาสพวกเขาทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ แต่พวกเขาไม่ฟัง’ (2 พงศาวดาร 36:15, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เช่นเดียวกับหลาย ๆ คนในทุกวันนี้ ‘เย้ยหยันบรรดาทูตของพระเจ้าอยู่เสมอ ดูหมิ่นพระวจนะของพระองค์ ทั้งทำกับบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์อย่างคนโง่เขลา’ (ข้อ 16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ในที่สุด พระเจ้าก็มอบพวกเขา (ข้อ 17) ให้กับมหาอำนาจในเวลานั้น คือบาบิโลน (อิรักในปัจจุบัน) และเปอร์เซีย (อิหร่านในปัจจุบัน)
หนังสือพงศาวดารจบลงด้วยข้อความแห่งความหวังเพียงเล็กน้อย พระธรรมตอนนี้อธิบายถึงความพินาศของกรุงเยรูซาเล็มและพระวิหารใน 597 ปีก่อนคริสตกาลและการตกไปเป็นเชลย แต่จบลงด้วยความหวังว่าจะมีการฟื้นฟูและสร้างใหม่ซึ่งเริ่มขึ้นใน 538 ปีก่อนคริสตกาล
การฟื้นฟูนี้ชี้ให้เห็นถึงความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าว่าจะเกิดอะไรขึ้นโดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พันธกิจของพระเยซูและพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เกินกว่าพันธกิจตามพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ความหวังของเราแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เปาโลเขียนว่า ‘เมื่อมีความหวังเช่นนั้นแล้วเราจึงพูดด้วยความกล้าอย่างยิ่ง’ (2 โครินธ์ 3:12) เป็นความหวังที่จะสะท้อนพระรัศมีของพระเจ้าและถูกเปลี่ยนให้เป็นเหมือนพระองค์โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป (ข้อ 18)
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอบพระคุณพระองค์สำหรับความหวังที่เรามี ซึ่งยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ใครจะคิดหรือจินตนาการได้ ขอบพระคุณที่ข้าพระองค์สามารถจ้องมองที่พระพักตร์ของพระเยซู ขอบพระคุณที่ข้าพระองค์สามารถสะท้อนรัศมีของพระเจ้าและเปลี่ยนให้เป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์ โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป
Pippa Adds
2 โครินธ์ 3:18
‘แต่เราทุกคนไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว และมองดูพระรัศมีขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป เหมือนอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ’
ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ก็จะไม่มีการเติบโต
References
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)About this Plan

การเข้าใจพระคัมภีร์อาจเป็นเรื่องยาก ทำไมไม่ลองอ่านหรือฟังพร้อมกับคำอธิบายทุกวัน จากนิคกี้และพิพพา กัมเบล -ผู้บุกเบิกอัลฟ่า เริ่มวันนี้เลย!
More
Related Plans

Spiritual Portals

Victory Is Yours: Overcome Life’s Challenges God's Way

Helping Your Kids Know God's Good Design

Living LifeWise: The Good Samaritan

Be Fruitful

God With Us: Lessons From the Incarnation

Letting Go of Your Past

THE PRAYER of JABEZ

The Power of Generosity: Sharing God’s Abundance
