พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2023 พร้อมด้วยคำอธิบายจาก นิคกี้และพิพพา กัมเบลSample

ฤทธานุภาพเต็มที่ในความอ่อนแอ
ผมได้รับสายเรียกเข้าพวกนี้ไม่หยุด สายพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้นำคริสตจักรโทรเข้ามา พวกเขามาจากด้านต่าง ๆ ของคริสตจักร มักจะเป็นบทสนทนาทางโทรศัพท์ยืดยาว พวกเขาล้วนอยากรู้ว่า ‘คุณใช้วิธีไหนที่เชิญคนได้เยอะแยะมากมายจากนอกคริสตจักรให้มาเข้าร่วมหลักสูตร?’ ‘หลักสูตรอัลฟ่าจริง ๆ แล้วคืออะไรกันแน่?’ ‘คุณจัดอัลฟ่ายังไง?’ ผมคิดว่าบางทีวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการรวมพวกเขาไว้ในที่เดียว และบอกพวกเขาพร้อม ๆ กัน ผลก็คือ เราจัดการประชุมอัลฟ่าในเดือนพฤษภาคม 1993 เราประหลาดใจที่มีผู้นำคริสตจักรนับพันมาร่วมงาน ผมค่อนข้างใหม่กับพันธกิจคริสเตียน และหวาดผวากับความคิดของผู้นำคริสตจักรนับพัน ซึ่งส่วนมากมีประสบการณ์ในการทำพันธกิจเหนือกว่าผมมาก ถ้อยคำของอัครสาวกเปาโล ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ในวันนี้ ดูเหมือนจะสรุปได้ตรงกับสิ่งที่ผมรู้สึก ผมอ่านพระธรรมตอนนี้กับบรรดาผู้เข้าร่วมในตอนต้นของการประชุม: พี่น้องทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ามาหาท่านเพื่อประกาศความล้ำลึกของพระเจ้าแก่พวกท่านนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้มาด้วยถ้อยคำหวานหูหรือด้วยความฉลาดปราดเปรื่อง เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใด ๆ ในหมู่พวกท่านเลย เว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน และข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลายด้วยความอ่อนแอ ด้วยความกลัวและความหวาดหวั่นมาก คำพูดและคำเทศนาของข้าพเจ้าไม่ใช่เป็นการพูดชักชวนด้วยปัญญาแต่เป็นการสำแดงพระวิญญาณและฤทธานุภาพ เพื่อความเชื่อของพวกท่านจะไม่ขึ้นกับปัญญาของมนุษย์ แต่ขึ้นกับฤทธิ์เดชของพระเจ้า (1 โครินธ์ 2:1–5) ผมคิดว่า เมื่อผมได้อธิบายครั้งหนึ่งว่าอัลฟ่าคืออะไรกับกลุ่มผู้นำคริสตจักรกลุ่มนี้แล้ว ผมก็ไม่ต้องอธิบายกับคนอื่น ๆ อีกเลย แต่ที่จริงแล้ว เมื่อจบการประชุม เราถูกเชิญให้ทำการประชุมแบบนี้อีกหลายครั้งหลายครา ผ่านไปหลายปี เราได้จัดการประชุมนับร้อย ๆ ครั้ง ในทุกการประชุมอัลฟ่า ผมจะเริ่มต้นด้วยการอ่าน 1 โครินธ์ 2:1–5 เสมอ ผมรู้สึกประหม่าอยู่ทุกครั้ง มีองค์ประกอบของ ‘ความอ่อนแอ ความกลัวและความหวาดหวั่นมาก’ แต่ผมขอบพระคุณพระเจ้าที่สิ่งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัญญาของมนุษย์และคำพูดชักชวน แต่เป็นการสำแดงพระวิญญาณและฤทธานุภาพ และความอ่อนแอมีที่ไหน ฤทธานุภาพของพระเจ้าก็ปรากฏเต็มที่นั่น (2 โครินธ์ 12:9) มีด้านดีของ ‘ความอ่อนแอ’ ‘ความกลัว’ และ ‘ความหวาดหวั่น’ ก็มีด้านที่เลวร้ายด้วยเช่นกัน ในพระธรรมวันนี้ เราได้เห็นทั้งด้านดีและด้านที่เลวร้ายของความอ่อนแอ ความกลัว และความหวาดหวั่นสดุดี 91:1-8
ความกลัวและความเชื่อ
“ไม่กลัวอะไรเลย” (ข้อ 5 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ผู้เขียนสดุดีเขียนเอาไว้ เขาให้ วิธีการแก้ไข “ความกลัว” ในแง่การเลือกคำที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เขาเขียนว่า “ท่านจะไม่กลัวความสยดสยองในกลางคืน หรือลูกธนูที่ปลิวไปในกลางวัน หรือกลัวโรคภัยที่ไล่มาในความมืด หรือความหายนะซึ่งทำลายในเที่ยงวัน” (ข้อ 5–6)
วิธีการแก้ไขความกลัวคือการมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า – อาศัยอยู่ “ผู้ที่อาศัยอยู่ในที่กำบังขององค์ผู้สูงสุด” และ “จะอยู่ในร่มเงาของผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” (ข้อ 1) สิ่งตรงข้ามกับความกลัวคือ การไว้วางใจพระเจ้า (ข้อ 2)
มีความเชื่อมโยงกันอย่างยิ่งระหว่างสิ่งที่คุณคิดกับสิ่งที่คุณพูด สิ่งที่คุณคิดจะออกมาเป็นคำพูดของคุณ แต่คำพูดของคุณยังสามารถส่งผลกระทบต่อความคิดของคุณด้วยเช่นกัน ผู้เขียนสดุดีบอกเราให้พูดออกมาดัง ๆ เรื่องความดีงามของพระเจ้า “จงกล่าวสิ่งนี้ “พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์ ข้าพระองค์วางใจในพระองค์ และข้าพระองค์ปลอดภัย!” (ข้อ 2 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
พระองค์ทรงสัญญาที่จะช่วยกู้คุณ “ให้พ้นจากกับดักที่ซ่อนอยู่ และพ้นจากโรคภัยร้ายแรงนั้น พระองค์จะทรงปกป้องท่านไว้ด้วยปีกของพระองค์ และท่านจะลี้ภัยอยู่ใต้ปีกของพระองค์ แขนของพระองค์ปกป้องอันตรายทุกประการ” (ข้อ 3–4 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ความกลัวสามารถทำลายความสุขในปัจจุบันของคุณได้ พระเจ้าทรงทำให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ในการทำเช่นนั้น พระองค์ทรงปลดปล่อยคุณจากความกลัวความตาย และทุกความกลัวซึ่งมากับเรื่องนี้ “และท่านจะลี้ภัยอยู่ใต้ปีกของพระองค์” (ข้อ 4) คุณไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวเรื่องอนาคต และคุณสามารถมีความสุขกับปัจจุบันได้โดยปราศจากความกลัว
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพระองค์สามารถพักพิงอยู่ในป้อมปราการของพระองค์ และพักสงบอยู่ใต้ร่มปีกของพระองค์ ข้าพระองค์ขอกล่าวกับพระองค์ในวันนี้ พระองค์ทรงเป็น “ที่ลี้ภัยของข้าพระองค์และป้อมปราการของข้าพระองค์” (ข้อ 2) ข้าพระองค์จะไว้วางใจพระองค์
1 โครินธ์ 1:18-2:5
ฤทธานุภาพในความอ่อนแอ
‘ข้าพเจ้ากลัวแทบตาย’ อัครทูตเปาโลเขียน (2:3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ท่านรู้สึกไม่คู่ควรใด ๆ กับงานที่พระเจ้าทรงเรียกให้ทำ ‘แต่ข่าวสารก็เข้ามาอยู่ดี พระวิญญาณของพระเจ้า และฤทธานุภาพของพระเจ้าทรงกระทำสิ่งนี้’ (ข้อ 4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ความอ่อนแอทางศีลธรรมและความขี้ขลาดไม่ใช่คุณธรรม อย่างไรก็ตามอย่างที่เราเห็นในพระธรรมตอนนี้ มีด้านที่ดีในความอ่อนแอ ความกลัว และความหวาดหวั่น
พระเจ้าทรงกลับด้านสิ่งต่าง ๆ กางเขนทำให้ทุกสิ่งกลับหัวกลับหาง ‘เพราะว่าคนทั้งหลายที่กำลังจะพินาศก็เห็นว่าเรื่องกางเขนเป็นเรื่องโง่ แต่เราที่กำลังจะรอดเห็นว่าเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า’ (1:18)
พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ในฐานะอาชญากรของรัฐ พระองค์สิ้นพระชนม์บนเครื่องมือทรมานของโรม ความตายที่สงวนไว้สำหรับผู้ที่เสื่อมทรามและถูกเหยียดหยามที่สุดในสังคมโรมัน กางเขนไม่ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของคริสเตียนไปจนอีกหลายร้อยปี การตรึงกางเขนเป็นเรื่องของความอ่อนแอ ความอับอาย และความปราชัย
ในตอนนั้น เมืองโครินธ์เป็นศูนย์กลางแห่งปัญญาของโลก เป็นสถานที่ของผู้ที่ชอบโต้คารม บรรดาครู อาจารย์ และนักปรัชญาที่เดินทางท่องไป ความคิดและปัญญานั้นได้รับการตีค่าไว้สูงมาก
เนื้อหาของพระกิตติคุณที่เราประกาศ ดูเหมือนเป็นเรื่องโง่เขลาสุด ๆ สำหรับพวกที่มีความฉลาดอย่างยิ่ง การที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนกางเขนเมื่อสองพันปีก่อนสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณโดยสิ้นเชิง ที่ฟังดูแล้ว ‘โง่เขลา' ต่อพวกปัญญาชน และเป็น ‘หินสะดุด’ (ข้อ 23) แม้กระทั่งกับผู้นำทางความเชื่อมากมาย
แต่ถึงอย่างไร ข้อความง่าย ๆ นี้ก็ช่วยผู้ที่วางใจเชื่อ ‘เพราะตามที่ทรงกำหนดไว้ตามพระสติปัญญาของพระเจ้า โลกไม่อาจรู้จักพระเจ้าได้โดยปัญญาของตน พระเจ้าจึงพอพระทัยจะช่วยพวกที่เชื่อให้รอดโดยคำเทศนาโง่ ๆ … เพราะความเขลาของพระเจ้ายังมีปัญญายิ่งกว่าปัญญาของมนุษย์ และความอ่อนแอของพระเจ้าก็ยังมีกำลังมากยิ่งกว่ากำลังของมนุษย์’ (ข้อ 21, 25)
เมื่อเรามองไปรอบ ๆ เราสามารถเห็นว่าสิ่งนี้ยังคงเป็นจริงอยู่ในปัจจุบันว่า มีคนไม่มากนักในคริสตจักรที่เป็นพวก ‘สมองใสและฉลาดล้ำ’ มีคนไม่มากนักที่เป็น ‘ผู้มีอิทธิพล’ และมีไม่กี่คนที่ ‘มาจากครอบครัวในสังคมชั้นสูง’ (ข้อ 26, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แต่นี่ก็ยังคงเป็นความจริงในปัจจุบันว่าพระเจ้า ‘ทรงเลือกพวกที่โลกถือว่าโง่ เพื่อทำให้พวกมีปัญญาอับอาย และได้ทรงเลือกพวกที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้พวกที่แข็งแรงอับอาย’ (ข้อ 27)
อย่าอับอายในการกล่าวข้อความง่าย ๆ ซึ่งดูเหมือนโง่เขลาต่อคนจำนวนมาก ไม่จำเป็นต้องพยายาม และตกแต่งคำพูดด้วย 'ถ้อยคำหวานหูหรือด้วยความฉลาดปราดเปรื่อง’ (2:1) แต่เน้นไปที่เนื้อหาเรื่อง 'พระเยซูคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน’ (ข้อ 2) ตามที่ยูจีน ปีเตอร์สัน แปลว่า ‘ข้าพเจ้าจงใจทำให้มันเรียบง่าย อันดับแรก พระเยซูและพระองค์ทรงเป็นผู้ใด จากนั้น พระเยซูและสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ คือที่พระเยซูทรงถูกตรึงที่กางเขน’ (ข้อ 2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เป็นเรื่องปกติที่จะมีประสบการณ์ใน ‘ความอ่อนแอ และความกลัวและ...ความหวาดหวั่นมาก' (ข้อ 3) สิ่งสำคัญคือ ไม่ว่าคุณจะใช้เพียงแต่ ‘ถ้อยคำชักชวนด้วยปัญญา’ แต่ 'เป็นการสำแดงพระวิญญาณและฤทธานุภาพ’ (ข้อ 4) และฤทธานุภาพของพระองค์ก็ปรากฏเต็มในความอ่อนแอของเรา บ่อยครั้งที่เมื่อเฉพาะเวลาที่เรารู้สึกอ่อนแอ เราถึงเต็มใจที่จะพึ่งพาพระเจ้าอย่างเต็มที่ เปาโลพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์เต็มที่ให้ตรัสผ่านตัวท่าน ไม่ว่าคุณจะรู้สึกว่าไม่คู่ควรอย่างไรก็ตาม หากคุณทูลขอองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ตรัสผ่านคุณ พระองค์จะทำ
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์สำหรับข้อความเรื่องพระเยซูและการถูกตรึงบนกางเขนของพระองค์ ซึ่งเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า ขอบพระคุณที่ข้าพระองค์ไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำหวานหูหรือความฉลาดปราดเปรื่อง แม้ว่าข้าพระองค์พูดในความอ่อนแอ ความกลัว และความหวาดหวั่น ข้าพระองค์อธิษฐานให้พระองค์ทรงสถิตอยู่ในการเทศนา ให้เนื้อหานั้นสำแดงฤทธานุภาพของพระวิญญาณ
1 พงศาวดาร 19:1-22:1
ความกลัวและความหวาดหวั่น
‘ความกลัวและความหวาดหวั่น’ จำเพาะพระพักตร์พระเจ้าไม่ได้ผิดเสมอไป แท้จริงแล้วบางครั้งเป็นเรื่องที่เหมาะสมด้วย
ผู้เขียนพงศาวดารทำให้เห็นชัดเจน ในแบบที่เรื่องราวก่อนหน้านี้ไม่ได้ชัดเจนเช่นนี้ ว่านี่เป็น ‘ซาตาน’ ที่เป็นผู้ ‘ดลใจให้ดาวิดนับจำนวนอิสราเอล’ (21:1) โยอาบพยายามหว่านล้อมดาวิดไม่ให้ทำเช่นนั้น (ข้อ 3) แต่ดาวิดถูกซาตานครอบงำ 'แต่พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยในเรื่องนี้ (การพึ่งพาทรัพยากรมนุษย์)’ (ข้อ 7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
ไม่ชัดเจนว่าเหตุใดนี่จึงเป็นบาปใหญ่ยิ่ง แต่ชัดเจนดังที่ดาวิดทูลต่อพระเจ้าว่า ‘ข้าพระองค์ได้ทำบาปใหญ่ยิ่งในการที่ข้าพระองค์ได้ทำสิ่งนี้ แต่บัดนี้ขอทรงให้อภัยความบาปชั่วของผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะข้าพระองค์ได้ทำการอย่างโง่เขลามาก’ (ข้อ 8)
พระองค์ตรัสด้วยความรู้สึกกลัว และหวาดหวั่นที่เกิดขึ้นว่า ‘เรามีความทุกข์ใจมาก ขอให้เราตกเข้าไปอยู่ในพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ เพราะพระกรุณาของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก’ (ข้อ 13)
เมื่อดาวิดมาถวายเครื่องบูชาต่อพระเจ้า พระองค์ตรัสว่า ‘เพราะเราจะไม่เอาของของเจ้าถวายพระยาห์เวห์ หรือถวายสิ่งที่เราได้มาเปล่า ๆ เป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว’ (ข้อ 24) ดาวิดทูลต่อพระยาห์เวห์และพระองค์ทรงตอบ ‘ด้วยไฟจากสวรรค์' (ข้อ 26)
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เข้ามาหาพระองค์ในวันนี้ในความอ่อนแอ และความหวาดหวั่นมาก และทูลขอให้ฤทธานุภาพของพระองค์จะเต็มขนาดในความอ่อนแอของข้าพระองค์ (2 โครินธ์ 12:9)
Pippa Adds
1 โครินธ์ 1:27
'แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกพวกที่โลกถือว่าโง่ เพื่อทำให้พวกมีปัญญาอับอาย และได้ทรงเลือกพวกที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้พวกที่แข็งแรงอับอาย’
ฉันตกอยู่ในประเภทอ่อนแอและโง่เขลาอย่างแน่นอน ขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงเลือกฉัน!
References
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)About this Plan

การเข้าใจพระคัมภีร์อาจเป็นเรื่องยาก ทำไมไม่ลองอ่านหรือฟังพร้อมกับคำอธิบายทุกวัน จากนิคกี้และพิพพา กัมเบล -ผู้บุกเบิกอัลฟ่า เริ่มวันนี้เลย!
More
Related Plans

The Table: What a Boy Discovered at Camp

I Feel Abandoned

God's Love Letter to You - Chronological Bible in a Year

The Letter to the Colossians and the Letter to Philemon

Parables of Grace: Embrace God’s Love for You

Horizon Church October Bible Reading Plan - the Book of Romans: Freely Justified

Weary of Waiting: Finding Peace in God's Plan

So That

Workplace Evangelism - 40 Rockets Tips (26-30)
