มัทธิว 13
13
อุปมาเรื่องผู้หว่าน
(มก.4:1-20; ลก.8:4-15; 10:23,24)
1ในวันเดียวกัน พระเยซูออกจากบ้านไปนั่งที่ริมทะเลสาบ 2ฝูงชนมากมายมารุมล้อม พระองค์จึงลงไปนั่งในเรือขณะที่ฝูงชนยืนบนฝั่ง 3พระองค์เล่าอุปมาหลายเรื่องให้พวกเขาฟัง เช่น “ชาวนาคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช 4ขณะที่หว่าน บางเมล็ดก็ตกตามทางและนกก็มาจิกกินหมด 5บางเมล็ดตกบนพื้นดินปนหินซึ่งมีเนื้อดินน้อยจึงงอกขึ้นเร็วเพราะดินตื้น 6แต่เมื่อแดดเผาก็เหี่ยวไป เพราะไม่มีราก 7บางเมล็ดตกกลางพงหนาม พงหนามก็เติบโตรัดพืชนั้น 8แต่ยังมีเมล็ดบางส่วนตกบนดินดีซึ่งเกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่าน 9ใครมีหู จงฟังเถิด”
10พวกสาวกมาหาพระองค์และถามว่า “ทำไมพระองค์จึงพูดกับฝูงชนเป็นอุปมา”
11พระเยซูตอบว่า “เพราะความลับของอาณาจักรสวรรค์ก็ให้พวกเจ้ารู้ แต่ไม่ให้พวกเขารู้ 12ใครมีอยู่แล้วก็จะได้รับเพิ่มจนล้นเหลือ ส่วนใครไม่มี แม้ที่มีอยู่ก็จะถูกริบไปจากเขา 13นี่คือเหตุผลที่เรากล่าวกับพวกเขาเป็นอุปมาว่า
แม้ได้ดู พวกเขาก็ไม่เห็น
แม้ได้ยิน พวกเขาก็ไม่ฟังหรือเข้าใจ
14 เป็นจริงตามคำเผยพระวจนะของอิสยาห์ที่ว่า
‘พวกเจ้าจะได้ยินครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่มีวันเข้าใจ
พวกเจ้าจะดูแล้วดูเล่าแต่ไม่มีวันเห็น
15 เพราะจิตใจของคนเหล่านี้ดื้อด้าน
หูของเขาไม่ได้ยิน
เขาปิดตาตัวเอง
มิฉะนั้นแล้วเขาคงเห็นด้วยตา
ได้ยินด้วยหู
เข้าใจด้วยจิตใจ
และหันกลับมา เพื่อเราจะรักษาเขาให้หาย’ # 13:15
อสย.6:9,10 (ดูฉบับ LXX)
16 แต่พระพรมีแด่ดวงตาของเจ้าเพราะได้เห็น และแด่หูของเจ้าเพราะได้ยิน 17เพราะเราบอกความจริงว่า ผู้เผยพระวจนะและคนชอบธรรมมากมายอยากเห็นสิ่งที่เจ้าเห็น แต่ไม่ได้เห็น และอยากได้ยินสิ่งที่เจ้าได้ยิน แต่ไม่ได้ยิน
18 จงฟังความหมายของอุปมาเรื่องผู้หว่านนี้คือ 19เมื่อคนใดได้ยินถ้อยคำเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้าและไม่เข้าใจ ผู้ชั่วร้ายก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไป นี่คือเมล็ดที่หว่านตามทาง 20เมล็ดที่ตกลงบนพื้นดินปนหิน คือคนที่ได้ยินพระวจนะแล้วรับไว้ทันทีด้วยความยินดี 21แต่เพราะไม่หยั่งรากลึก จึงอยู่แค่ชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหาหรือการข่มเหงเพราะพระวจนะ พวกเขาก็ละทิ้งไปอย่างรวดเร็ว 22เมล็ดที่ตกกลางพงหนาม คือคนที่ได้ยินพระวจนะแต่ความกังวลในชีวิต และความเย้ายวนของทรัพย์สมบัติบีบรัดพระวจนะทำให้ไม่เกิดผล 23ส่วนเมล็ดที่ตกในดินดี คือคนที่ได้ยินพระวจนะแล้วเข้าใจ ก็เกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่านลงไป”
อุปมาเรื่องวัชพืช
24พระเยซูเล่าเรื่องอุปมาให้ฟังอีกว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนคนหว่านเมล็ดพันธุ์ดีในนาของตน 25แต่ขณะที่ทุกคนหลับอยู่ ศัตรูก็มาหว่านวัชพืชแทรกปนกับข้าวสาลีแล้วจากไป 26เมื่อข้าวสาลีงอกออกรวง วัชพืชก็งอกขึ้นด้วย
27 คนรับใช้มาบอกเจ้าของนาว่า ‘นายท่าน ท่านหว่านเมล็ดพันธุ์ดีในนาไม่ใช่หรือ แล้ววัชพืชมาจากไหน’
28 เจ้าของนาตอบว่า ‘ฝีมือของศัตรู’
คนรับใช้ถามว่า ‘ให้พวกเราถอนทิ้งไหม’
29 เจ้าของนาตอบว่า ‘อย่าเลย เพราะขณะถอนวัชพืช เจ้าอาจจะถอนข้าวสาลีด้วย 30ปล่อยให้พวกมันโตไปพร้อมกันจนถึงเวลาเก็บเกี่ยว ตอนนั้นเราจะบอกคนเกี่ยวข้าวให้เก็บวัชพืชก่อน และมัดเป็นฟ่อนนำไปเผาไฟ แล้วค่อยเก็บข้าวสาลีมาไว้ในยุ้งฉางของเรา’ ”
อุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ดและเชื้อขนมปัง
(มก.4:30-32; ลก.13:18-21)
31พระองค์เล่าอุปมาอีกเรื่องว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด ที่คนเอาไปเพาะในทุ่งของตน 32แม้เมล็ดนั้นเล็กที่สุด แต่เมื่อเติบโตขึ้นเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สุดในสวน และให้นกมาเกาะกิ่งได้”
33พระองค์เล่าอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนยีสต์ที่ผู้หญิงเอามาผสมกับแป้งประมาณยี่สิบเจ็ดกิโลกรัมจนแป้งฟูขึ้นทั้งก้อน”
34พระเยซูกล่าวอุปมาทั้งหมดนี้แก่ฝูงชน พระองค์ไม่ได้กล่าวสิ่งใดกับพวกเขาโดยไม่ใช้อุปมาเลย 35เพื่อจะเป็นจริงตามที่กล่าวไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า
“ข้าพเจ้าจะอ้าปากกล่าวอุปมา
จะพูดถึงสิ่งที่ปิดซ่อนไว้ตั้งแต่สร้างโลก”#13:35 สดด.78:2
อธิบายอุปมาเรื่องวัชพืช
36จากนั้นพระเยซูผละจากฝูงชนและเข้าไปในบ้าน พวกสาวกมาบอกพระองค์ว่า “ขออธิบายอุปมาเรื่องวัชพืชในนาด้วยเถิด”
37พระเยซูตอบว่า “คนที่หว่านเมล็ดพันธุ์ดีคือบุตรมนุษย์ 38นาคือโลก เมล็ดพันธุ์ดีหมายถึงคนของอาณาจักรพระเจ้า ส่วนวัชพืชหมายถึงคนของมาร 39ศัตรูที่หว่านวัชพืชคือมาร เวลาเก็บเกี่ยวคือเมื่อสิ้นยุค และคนที่เก็บเกี่ยวคือทูตสวรรค์
40 วัชพืชถูกถอนมาเผาไฟอย่างไร เมื่อสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น 41บุตรมนุษย์จะส่งพวกทูตสวรรค์ของพระองค์มากำจัดทุกสิ่งที่เป็นต้นเหตุของบาป และกำจัดทุกคนที่ทำชั่วออกจากอาณาจักรของพระองค์ 42และจะโยนลงในเตาไฟลุกโชน คือที่ซึ่งมีการร่ำไห้ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน 43ส่วนคนชอบธรรมจะส่องสว่างเหมือนดวงอาทิตย์ ในอาณาจักรของพระบิดาของพวกเขา ใครมีหูจงฟังเถิด
อุปมาเรื่องขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่และไข่มุกล้ำค่า
44 อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ซ่อนในทุ่งนา เมื่อมีคนมาพบก็ซ่อนไว้เหมือนเดิม ด้วยความยินดีเขาจึงไปขายทุกสิ่งที่มี แล้วมาซื้อทุ่งนานั้น
45 อีกอย่างหนึ่ง อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่เสาะหาไข่มุกเม็ดงาม 46เมื่อเขาได้พบไข่มุกล้ำค่าเม็ดหนึ่งจึงไปขายทุกสิ่งที่มีแล้วมาซื้อไข่มุกนั้น
อุปมาเรื่องอวน
47 นอกจากนี้ อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบเหมือนอวนซึ่งทอดลงในทะเลและจับปลาทุกชนิดได้ 48พอเต็มแล้ว ชาวประมงก็ลากอวนขึ้นฝั่ง จากนั้นเลือกแต่ปลาที่ดีใส่ตะกร้า ส่วนที่ไม่ดีก็ทิ้งไป 49เมื่อสิ้นยุคก็จะเป็นเช่นนี้ พวกทูตสวรรค์จะแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม 50และเอาไปทิ้งในเตาไฟลุกโชน คือที่จะมีการร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”
51พระเยซูถามว่า “พวกท่านเข้าใจทั้งหมดนี้หรือไม่”
พวกเขาตอบว่า “พวกเราเข้าใจ”
52พระองค์พูดว่า “ด้วยเหตุนี้ ครูสอนกฎบัญญัติทุกคนที่ได้มาเป็นสาวกในอาณาจักรสวรรค์ ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่นำทรัพย์สมบัติทั้งใหม่และเก่าออกมาจากคลังของตน”
ผู้เผยพระวจนะที่ไม่มีเกียรติ
(มก.6:1-6)
53เมื่อพระเยซูพูดอุปมาเหล่านี้จบก็ออกจากที่นั่น 54เมื่อมาถึงบ้านเกิด จึงเริ่มต้นสอนผู้คนในธรรมศาลา และพวกเขาก็ประหลาดใจถามกันว่า “คนนี้ได้สติปัญญาและฤทธิ์เดชอัศจรรย์เหล่านี้มาจากไหน 55เขาเป็นลูกช่างไม้ไม่ใช่หรือ แม่ของเขาชื่อมารีย์และน้องชายคือยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาส ไม่ใช่หรือ” 56น้องสาวของเขาทุกคนก็อยู่กับเราไม่ใช่หรือ แล้วเขาได้สิ่งเหล่านี้มาจากไหน 57พวกเขาจึงขุ่นเคืองพระองค์
แต่พระเยซูพูดกับพวกเขาว่า “ผู้เผยพระวจนะไม่ได้รับเกียรติก็แต่เฉพาะในบ้านเกิดและในครอบครัวของตน”
58และพระองค์ไม่ได้ทำการอัศจรรย์ที่นั่นมากนัก เนื่องจากพวกเขาขาดความเชื่อ
ที่ได้เลือกล่าสุด:
มัทธิว 13: TCV
เน้นข้อความ
แบ่งปัน
คัดลอก

ต้องการเน้นข้อความที่บันทึกไว้ตลอดทั้งอุปกรณ์ของคุณหรือไม่? ลงทะเบียน หรือลงชื่อเข้าใช้
Biblica® พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับไทยสามัญแบบเปิด™
สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 โดย Biblica, Inc.
Biblica® Open Thai Common Version™
Copyright © 2025 by Biblica, Inc.
“Biblica” เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนในสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐอเมริกาของ Biblica, Inc. ซึ่งใช้งานภายใต้ใบอนุญาต
“Biblica” is a trademark registered in the United States Patent and Trademark Office by Biblica, Inc. Used with permission.
See promoVersionInfo in metadata.xml for Creative Commons license.