YouVersion Logo
Search Icon

พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2023 พร้อมด้วยคำอธิบายจาก นิคกี้และพิพพา กัมเบลSample

พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2023 พร้อมด้วยคำอธิบายจาก นิคกี้และพิพพา กัมเบล

DAY 107 OF 365

6 ขั้นตอนสู่ชีวิตที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง

วิลเลียม เทมเพิล ผู้เคยเป็นอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี (1942–1944) เช่นเดียวกับบิดาของเขา ท่ามกลางความสำเร็จอันน่าทึ่งมากมาย เขาได้เขียนอรรถาธิบายที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับพระกิตติคุณของยอห์น หนังสือมีชื่อว่า *Readings in St John's Gospel* เขาเขียนหนังสือเล่มนี้ทั้งหมด ขณะที่คุกเข่าอธิษฐานต่อพระเจ้า วิลเลียมได้เขียนเกี่ยวกับการนมัสการว่า ‘การนมัสการเป็นการยอมจำนนทั้งหมดทุกสิ่งที่เราเป็นต่อพระเจ้า เป็นการปลุกจิตสำนึกด้วยความบริสุทธิ์ของพระองค์ การหล่อเลี้ยงจิตใจด้วยความจริงของพระองค์ การชำระความคิดด้วยความดีงามของพระองค์ การเปิดใจรับความรักของพระองค์ การยอมจำนนต่อน้ำพระทัยของพระองค์และทั้งหมดนี้รวมกันไว้ในการนมัสการ’ การนมัสการช่วยเราให้ปลอดภัยจากการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง แต่ให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลาง คุณถูกสร้างมาเพื่อให้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าและนั่นควรเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับหนึ่งสำหรับชีวิตของคุณ ถ้าคุณให้พระเจ้ามาเป็นที่หนึ่งในชีวิตของคุณแล้ว พระพรต่าง ๆ ก็จะตามมา เพราะพระเจ้าทรงรักคุณ พระองค์จึงเตือนคุณถึงความอันตรายของการไม่ระมัดระวังในการดำเนินชีวิต แต่การดำเนินชีวิตที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางนั้นหมายความว่าอย่างไร และคุณต้องทำอย่างไรบ้าง?

สดุดี 47:1-9

1. นมัสการพระเจ้า

คุณถูกเรียกให้นมัสการพระเจ้า

การนมัสการในพระธรรมสดุดีนี้ดูจะเต็มไปด้วยอารมณ์และเสียงที่ดังอื้ออึง ‘ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย จงตบมือ จงโห่ร้องถวายแด่พระเจ้าด้วยเสียงยินดี พระเจ้าเสด็จขึ้นด้วยเสียงโห่ร้อง พระยาห์เวห์เสด็จขึ้นด้วยเสียงแตร’ (ข้อ 1,5) และเต็มไปด้วยการร้องเพลง (ข้อ 6-7)

มีความสมบูรณ์ในการนมัสการ เช่นเดียวกับความรักและการอัศจรรย์ของพระเจ้าผุดขึ้นในการนมัสการพระองค์อย่างสุดใจ

ทั้งหมดนี้เป็นวิธีการแสดงออกในการนมัสการพระเจ้าจากภายนอก การนมัสการยังรวมถึงการใช้อารมณ์ เพื่อแสดงความรักและความกตัญญูต่อพระเจ้าด้วยเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระองค์

ในทุก ๆ ความสัมพันธ์ต่างก็เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึก เมื่อผมจะบอกรักพิพพา ผมก็ไม่ได้พูดกับพิพพาว่า ‘ผมรักคุณด้วยความคิด’ แต่สิ่งที่ผมพูดคือ ‘ผมรักคุณด้วยทั้งหมดที่ผมเป็น สุดความคิด สุดหัวใจ สุดความปรารถนา...’

เรามักจะเก่งในการแสดงอารมณ์ของเราในบริบทอื่นเช่น การแข่งขันฟุตบอลหรือการแข่งขันกีฬาอื่น ๆ แล้วทำไมการนมัสการพระเจ้าจึงแตกต่างกัน?

ข้าแต่พระเจ้า วันนี้ข้าพระองค์ยอมจำนนต่อพระองค์ ขอพระองค์ทรงปลุกจิตสำนึกของข้าพระองค์ด้วยความบริสุทธิ์ของพระองค์ หล่อเลี้ยงจิตใจของข้าพระองค์ด้วยความจริงของพระองค์ ชำระความคิดของข้าพระองค์ด้วยความดีงามของพระองค์ เปิดหัวใจข้าพระองค์ออกรับความรักของพระองค์ ข้าพระองค์ขอยอมจำนนต่อน้ำพระทัยของพระองค์ ข้าพระองค์นมัสการและเทิดทูนพระองค์

ลูกา 18:1-30

2. อธิษฐานอยู่เสมอ

ชีวิตที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางคือชีวิตแห่งการอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ พระเยซูทรงสอนเหล่าสาวกให้ ‘อธิษฐานอยู่เสมอและไม่อ่อนระอาใจ’ (ข้อ 1) คุณสามารถพูดคุยกับพระเจ้าได้ไม่ใช่แค่ในคริสตจักรหรือในช่วงเวลาแห่งการอธิษฐานเท่านั้น แต่ทุกที่และทุกเวลา ผมถูกสอนตั้งแต่มาเป็นคริสเตียนใหม่ ๆ ว่า ‘ให้อธิษฐานอย่างเดียวกันกับที่ผมเดิน’ นั่นคือตลอดทั้งวัน

พระเยซูทรงกล่าวถึงคำอุปมาเรื่องหญิงม่ายและผู้พิพากษาที่ไม่ยุติธรรม ซึ่งในที่สุดก็ยอมทำตามข้อเรียกร้องของเธอ เพื่อเธอจะได้หยุดรบกวนเขาและทำให้เขาต้องเหนื่อย (ข้อ 4–5) พระเยซูตรัสว่าถ้าผู้พิพากษาที่ไม่ยุติธรรมนั้นยังฟังคำวิงวอนของหญิงม่าย พระเจ้าจะทรงฟังผู้ที่ ‘ร้องถึงพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน’ มากเพียงใด? (ข้อ 7ข) อย่าละทิ้งการอธิษฐานและจงอธิษฐานให้หนักที่สุดในช่วงเวลาที่ยากที่สุดที่จะอธิษฐาน

3. ถ่อมตัวลง

ความอ่อนน้อมถ่อมตนไม่ใช่สิ่งที่คุณจะได้รับ แต่ควรเป็นสิ่งที่คุณทำกับตัวคุณเอง แทนที่จะยกย่องตัวเอง คุณควร ‘ถ่อมตน (ตัวเอง)’ พระเจ้าสัญญาว่าพระองค์จะทรงยกย่องคุณ (ข้อ 14)

ถ้าเราเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เราอาจเป็นอย่างฟาริสีที่กล่าวว่า ที่กล่าวขอบคุณพระเจ้าที่ตนเองนั้นไม่เหมือนคนอื่น คือเหล่า ‘คนฉ้อโกง เป็นคนอธรรม และเป็นคนล่วงประเวณี’ (ข้อ 11) ฟาริสี ‘เชื่อมั่นในตัวเองว่าเป็นคนชอบธรรม’ (ข้อ 9) เขาตกหลุมพรางของความมั่นใจในตัวเอง ถ้าชีวิตของเรามีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง (จิตสำนึกของเราจะถูกปลุกด้วยความบริสุทธิ์ของพระองค์) เมื่อเราเปรียบเทียบตัวเราเองกับพระองค์ สิ่งเดียวที่เราจะสามารถพูดได้ก็คือ ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด’ (ข้อ 13) ความจริงก็คือเราทุกคนเป็นคนบาป และเราทุกคนต้องการความเมตตาจากพระเจ้า

ผมพบว่ามันง่ายมากที่จะอ่านข้อนี้และขอบคุณพระเจ้าที่ผมไม่ได้เป็นเหมือนพวกฟาริสี แต่การคิดเช่นนี้ก็เท่ากับว่าผมเองก็ตกลงในหลุมพรางที่พระเยซูกำลังอธิบายเช่นกัน การที่ผมคิดว่าผมเป็นคนชอบธรรมมากกว่าคนอื่นแทนที่จะสำนึกว่าตัวผมเองเป็นคนบาปและต้องการพระเจ้า สิ่งนี้แหละที่เป็นความบาปของพวกฟาริสี

4. เป็นอย่างเด็ก

บางครั้ง ‘ทารก’ (ข้อ 15) เด็กหรือคนหนุ่มสาวในคริสตจักรมักถูกนำมาอธิบายว่าเป็น ‘คริสตจักรในอนาคต’ แต่ตามที่พระเยซูทรงตรัส พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงคริสตจักรในอนาคต แต่ยังเป็นคริสตจักรในปัจจุบันด้วย ‘แผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนอย่างพวกเขา’ (ข้อ 16)

พระเยซูทรงเรียกเราให้เป็นอย่างเด็ก ในที่นี้พระองค์ไม่ได้บอกว่าให้เราเป็นเด็ก (ในแง่ของความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน) แต่พระองค์ทรงให้เราเป็นอย่างเด็ก

การเป็นอย่างเด็กนั้นตรงข้ามกับการเป็นอิสระและ ‘โตขึ้น’ เด็กมีแนวโน้มที่จะเปิดกว้าง ไว้วางใจ ถ่อมตัว รัก และให้อภัย ชีวิตที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางคือชีวิตที่พึ่งพาพระองค์เหมือนอย่างเด็ก ๆ

คุณกลายเป็นอย่างเด็กได้เมื่อคุณแสดงออกและแบ่งปันความรู้สึกของคุณอย่างตรงไปตรงมา ยอมรับว่าคุณอ่อนแอและเปราะบางแค่ไหน และคุณต้องการพระเจ้าและผู้อื่นมากเพียงใด

เด็ก ๆ ถูกขับเคลื่อนโดยสัญชาตญาณในการสำรวจและค้นพบ พวกเขาไม่ได้จมปลักอยู่กับอดีตและไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน แต่มองไปข้างหน้าด้วยความอยากรู้ มองไปที่อนาคตและเติมพลังด้วยความสงสัยใคร่รู้ และความสนุกสนาน

จงใช้เสรีภาพที่มีในการตอบสนองสัญชาตญาณเหมือนอย่างเด็ก เพื่อที่จะสามารถรู้สึกและแสดงความรู้สึกประหลาดใจ ความกลัว ความรัก และความสุข ทำให้คุณได้สำรวจและค้นพบสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวคุณเอง

5. ติดตามพระเยซู

ไม่มีอะไรดีไปกว่าการติดตามพระเยซู เปโตรจึงทูลพระองค์ว่า ‘นี่แหละ พวกข้าพระองค์ถึงได้สละทิ้งบ้านเรือนของพวกข้าพระองค์ติดตามพระองค์มา’ (ข้อ 28) พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า ‘เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่สละบ้าน หรือภรรยา หรือพี่น้อง หรือบิดามารดา หรือบุตรเพราะเห็นแก่แผ่นดินของพระเจ้า จะได้รับผลตอบแทนหลายเท่าในยุคนี้ และในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์’ (ข้อ 29-30)

พระเยซูทรงเรียกขุนนางที่ร่ำรวยมาสู่ชีวิตที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง พระองค์ทรงเรียกเขาให้ละทิ้งสิ่งอื่น ๆ และติดตามพระองค์ (ข้อ 22) พระเยซูทรงเห็นศักยภาพในตัวของขุนนางนั้นที่จะเป็นเหมือนอัครสาวกเปโตรหรือมัทธิว หรือคนอื่น ๆ ในการตอบสนองเชิงบวกเมื่อพระเยซูตรัสว่า ‘จงตามเรามา’

ยิ่งเราสะสมมากเท่าไหร่ก็ยิ่งยากที่จะดำเนินชีวิตที่ให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ขุนนางผู้มั่งคั่งนั้นก็ ‘เป็นทุกข์ เพราะเขาเป็นคนมั่งมีมาก’ (ข้อ 23) ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคนรวยที่จะเข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้า (ข้อ 27) แต่เป็นเรื่องยากมาก (ข้อ 24–25) ไม่ใช่เพราะมีมาตรฐานที่สูงกว่า แต่เพราะความเสี่ยงนั้นดูมีมากกว่า

อันที่จริง เป็นไปไม่ได้ที่คนใดคนหนึ่งในพวกเรา รวมทั้งคนรวยจะเข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้าด้วยกำลังหรือการกระทำของเราเอง (ข้อ 24–25) แต่สำหรับพระเจ้าเป็นไปได้ที่ทุกคน รวมทั้งคนรวยจะเข้าสู่แผ่นดินของพระองค์ พระเยซูตรัสว่า ‘สิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ พระเจ้าทรงทำได้’ (ข้อ 27) ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวในอดีตของคุณ หรือสถานการณ์ในปัจจุบันของคุณก็ไม่จำเป็นต้องให้สิ่งเหล่านั้นมากำหนดอนาคตของคุณ เพราะสำหรับพระเจ้าทุกสิ่งนั้นเป็นไปได้

ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงเมตตาข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาป ขอทรงประทานความเชื่อและการพึ่งพาพระองค์เหมือนอย่างเด็กให้แก่ข้าพระองค์ และขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ให้เต็มใจสละทุกสิ่งเพื่อติดตามพระองค์อย่างสุดใจ

เฉลยธรรมบัญญัติ 28:15-68

6. รับใช้พระเจ้า

ในพระธรรมตอนนี้เราเห็นผลร้ายของชีวิตที่ไม่ได้มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ไม่เชื่อฟังพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ ไม่ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์อย่างระมัดระวัง (ข้อ 45) และไม่ปรนนิบัติพระเจ้า (ข้อ 47) เรายังเห็นผลลัพธ์ที่ร้ายแรงจากเหตุการณ์นี้ในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลเอง

ในชีวิตของผมเอง ผมได้เห็นบางสิ่งที่ถูกบรรยายไว้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลายปี ก่อนที่ผมจะมีประสบการณ์ในความสัมพันธ์กับพระเจ้า: ‘ฟ้าสวรรค์ที่อยู่เหนือศีรษะของท่านจะเป็นทองเหลือง’ (ข้อ 23) ผมได้เคยสัมผัสถึงความรู้สึกของการถูกแยกจากพระเจ้า

เราจะเห็นว่า ’พระยาห์เวห์จะประทานให้ท่านมีจิตใจที่หวาดหวั่น มีตาที่มืดมัวลง และมีชีวิตที่ค่อย ๆ วอดลง และชีวิตของท่านก็จะแขวนอยู่ในความสงสัยต่อหน้าท่าน ท่านจะครั่นคร้ามอยู่ทั้งกลางคืนและกลางวัน ไม่มีความแน่ใจในชีวิตของท่านเลย’ อย่างไร (ข้อ 65–66) ‘ความกังวลคือวงจรของความคิดที่ไม่มีประสิทธิภาพซึ่งวนเวียนอยู่รอบ ๆ ศูนย์กลางของความกลัว’ (คอรี่ เทน บูม) นี่คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสันติสุขและความชื่นชมยินดีที่พระเยซูทรงมอบให้

แน่นอน บางครั้งผมเองก็ล้มเหลวในการรับใช้ เชื่อฟัง และปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์ แต่ข่าวดีคือในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ พระเยซูทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากการถูกลงโทษ และการสาปแช่งที่เราสมควรได้รับ นั่นคือ ‘พระคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นการสาปแช่งแห่งธรรมบัญญัติ โดยการทรงถูกสาปแช่งเพื่อเรา’ (กาลาเทีย 3:13)

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อข้าพระองค์ ทำให้ข้าพระองค์ได้รับการอภัยและพ้นจากผลที่จะตามมาซึ่งข้าพระองค์สมควรได้รับ ขอบพระคุณที่ทรงเรียกข้าพระองค์ให้มีชีวิตที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ขอทรงโปรดช่วยให้ข้าพระองค์นมัสการพระองค์ด้วยสุดใจ รับใช้พระองค์ด้วยความชื่นชม และยินดีเชื่อฟังและติดตามพระองค์เสมอ

Pippa Adds

ลูกา 18:1-8

เมื่อได้อ่านคำอุปมาเรื่องหญิงม่ายผู้ไม่ยอมแพ้ ฉันได้นึกย้อนกลับไปถึงคำอธิษฐานบางประการ ที่ฉันได้เคยอธิษฐานแต่ยังไม่ได้รับคำตอบ ฉันคิดว่าฉันคงต้องเพิ่มความพยายามเป็นสองเท่า และไม่ยอมแพ้

References

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

About this Plan

พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2023 พร้อมด้วยคำอธิบายจาก นิคกี้และพิพพา กัมเบล

การเข้าใจพระคัมภีร์อาจเป็นเรื่องยาก ทำไมไม่ลองอ่านหรือฟังพร้อมกับคำอธิบายทุกวัน จากนิคกี้และพิพพา กัมเบล -ผู้บุกเบิกอัลฟ่า เริ่มวันนี้เลย!

More