มัทธิว 13:1-53

มัทธิว 13:1-53 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)

ใน​วัน​เดียว​กัน​นั้น​เอง พระเยซู​ออก​จาก​บ้าน​มา​นั่ง​อยู่​ที่​ริม​ทะเลสาบ คน​จำนวน​มาก​มา​ห้อมล้อม​พระองค์ พระองค์​จึง​ลง​ไป​นั่ง​อยู่​ใน​เรือ​โดย​มี​คน​พวก​นั้น​ยืน​อยู่​ริม​ฝั่ง แล้ว​พระองค์​ใช้​เรื่อง​เปรียบเทียบ​ต่างๆ​สอน​พวก​เขา​หลาย​อย่าง พระองค์​เล่า​ว่า “มี​ชาวนา​คน​หนึ่ง​ออก​ไป​หว่าน​เมล็ดพืช ใน​ขณะ​ที่​กำลัง​หว่าน​อยู่​นั้น พืช​บาง​เมล็ด​ตก​บน​ทางเดิน นก​ก็​มา​จิก​กิน​หมด บาง​เมล็ด​ตก​ลง​บน​ดิน​ที่​ชั้นล่าง​เป็น​หิน มี​ดิน​ไม่​มาก​นัก เมล็ด​พวก​นั้น​ก็​งอก​ขึ้น​อย่าง​รวดเร็ว แต่​เนื่อง​จาก​ดิน​ไม่​ลึก เมื่อ​ดวง​อาทิตย์​ขึ้น พืช​พวก​นั้น​ก็​ถูก​แดด​แผดเผา พวก​มัน​มี​ราก​ตื้นๆ​ก็​เลย​เหี่ยวแห้ง​ตาย​ไป บาง​เมล็ด​ตก​ลง​กลาง​พงหนาม หนาม​ก็​งอก​ขึ้น​มา​ปกคลุม​พืช​นั้น​หมด บาง​เมล็ด​ตก​ลง​บน​ดิน​ดี จึง​งอกงาม​เกิด​ดอก​ออก​ผล​มากมาย ร้อย​เท่า​บ้าง หกสิบ​เท่า​บ้าง และ​สามสิบ​เท่า​บ้าง ใคร​มี​หู ก็​ฟัง​ไว้​ให้​ดี” พวก​ศิษย์​ต่าง​ถาม​พระเยซู​ว่า “ทำไม​อาจารย์​ถึง​ใช้​แต่​เรื่อง​เปรียบเทียบ​เล่า​ให้​คน​ฟัง” พระเยซู​ตอบ​ว่า “มี​แต่​พวก​คุณ​เท่า​นั้น​ที่​เรา​จะ​บอก​ให้​รู้​ถึง​เรื่อง​ความลับ​ของ​อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์ แต่​คน​อื่นๆ​เรา​จะ​ไม่​บอก คน​ที่​เข้าใจ​อยู่​แล้ว​ก็​จะ​เข้าใจ​มาก​ยิ่งขึ้น​จน​เหลือเฟือ ส่วน​คน​ที่​ไม่​เข้าใจ แล้ว​ยัง​ไม่​สนใจ​ฟัง​อีก แม้​สิ่ง​ที่​เขา​เข้าใจ​ก็​จะ​หาย​ไป​ด้วย นี่​เป็น​เหตุ​ที่​เรา​ใช้​เรื่อง​เปรียบเทียบ​เล่า​ให้​พวก​เขา​ฟัง เพราะ​ถึง​เขา​จะ​เห็น ก็​เหมือน​กับ​ไม่​เห็น ถึง​จะ​ได้ยิน ก็​เหมือน​กับ​ไม่​ได้ยิน และ​ไม่​เข้าใจ​ด้วย ซึ่ง​ก็​เป็น​จริง​ตาม​ที่​อิสยาห์​ผู้พูดแทนพระเจ้า​ได้​บอก​ไว้​ว่า ‘คุณ​จะ​ฟัง​แล้ว​ฟัง​อีก แต่​จะ​ไม่​เข้าใจ คุณ​จะ​ดู​แล้ว​ดู​อีก แต่​จะ​ไม่​เห็น เพราะ​จิตใจ​ของ​คน​พวกนี้​ดื้อด้าน​ไป​เสีย​แล้ว พวก​เขา​ปิด​หู​ปิด​ตา จึง​ทำ​ให้​ตา​มอง​ไม่​เห็น หู​ก็​ไม่​ได้ยิน และ​จิตใจ​ก็​ไม่​เข้า​ใจ พวก​เขา​จึง​ไม่​ได้​หัน​กลับ​มา​หา​เรา​เพื่อ​ให้​เรา​รักษา’ พวก​คุณ​ที่​มี​ตา​มอง​เห็น​และ​มี​หู​ได้ยิน​นั้น ได้รับ​เกียรติ​จริงๆ เรา​จะ​บอก​ให้​รู้​ว่า มี​พวก​ผู้พูดแทนพระเจ้า และ​พวก​คน​ทั้งหลาย​ที่​ทำ​ตามใจ​พระเจ้า ใฝ่ฝัน​อยาก​เห็น อยาก​ได้ยิน​สิ่งที่​พวก​คุณ​เห็น​และ​ได้ยิน​นี้ แต่​พวก​เขา​ก็​ไม่​ได้​เห็น​และ​ก็​ไม่​ได้ยิน​ด้วย ฟัง​ให้​ดี นี่​คือ​ความหมาย​ของ​เรื่อง​ชาวนา​ที่​หว่าน​เมล็ดพืช เมล็ดพืช​ที่​ตก​ตาม​ถนน​หนทาง คือ​คน​ที่​ฟัง​เรื่อง​อาณาจักร​ของ​พระเจ้า​แต่​ไม่​เข้าใจ มารร้าย​ก็​มา​ฉกฉวย​เอา​พืช​ที่​หว่าน​อยู่​ใน​ใจ​ของ​เขา​ไป เมล็ดพืช​ที่​ตก​บน​ดิน​ตื้นๆ​ที่​มี​หิน​อยู่​ข้าง​ล่าง คือ​คน​ที่​เมื่อ​ได้ยิน​ถ้อยคำ​แล้ว ก็​รีบ​รับ​ไว้​ทันที​และ​มี​ความสุข​ทีเดียว แต่​ถ้อยคำ​ไม่​ได้​ฝัง​ลึก​เข้า​ไป​ใน​จิตใจ จึง​อยู่​ได้​ไม่​นาน เมื่อ​เกิด​เรื่อง​ทุกข์ร้อน​หรือ​ถูก​ข่มเหง​รังแก​เพราะ​ถ้อยคำ​นั้น ก็​รีบ​ทิ้ง​ถ้อยคำ​นั้น​ทันที เมล็ดพืช​ที่​ตกลง​ใน​พงหนาม​นั้น คือ​คน​ที่​ฟัง​ถ้อยคำ แต่​ยัง​เป็น​ห่วง​กังวล​เกี่ยว​กับ​ชีวิต​ใน​โลกนี้ และ​หลงไหล​ใน​ทรัพย์​สมบัติ สิ่ง​เหล่านี้​มา​คลุม​ถ้อยคำ​ไว้ เลย​ไม่​เกิด​ผล ส่วน​เมล็ดพืช​ที่​ตกลง​ใน​ดิน​ดี​นั้น คือ​คน​ที่​ได้​ฟัง​ถ้อยคำ​แล้ว​เข้าใจ จึง​เกิด​ผล​ร้อย​เท่า​บ้าง หกสิบ​เท่า​บ้าง สามสิบ​เท่า​บ้าง” พระเยซู​เล่า​เรื่อง​เปรียบเทียบ​อีก​เรื่อง​หนึ่ง​ให้​ฟัง​ว่า “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์ เปรียบ​เหมือน​กับ​คน​ที่​หว่าน​เมล็ด​พันธุ์​ดี​ใน​นา​ของ​เขา แต่​ใน​คืน​นั้น เมื่อ​ทุก​คน​หลับ​หมด ศัตรู​ของ​เขา​ได้​เข้า​มา​หว่าน​เมล็ด​วัชพืช​ลง​ไป​ใน​นา​ข้าว​สาลี แล้ว​ก็​ไป เมื่อ​ต้น​ข้าว​สาลี​ออก​รวง ต้น​วัชพืช​ก็​งอก​งาม​ขึ้น​มา​ด้วย พวก​คนใช้​มา​ถาม​เขา​ว่า ‘นาย​ครับ นาย​หว่าน​เมล็ด​พันธุ์​ดี​ลง​ไป​ใน​นา​นี่​ครับ แล้ว​ต้น​วัชพืช​โผล่​มา​ได้​อย่างไร​ครับ’ เขา​ตอบ​ไป​ว่า ‘เป็น​ฝีมือ​ของ​ศัตรู’ คนใช้​ถาม​ต่อว่า ‘นาย​จะ​ให้​พวก​เรา​ไป​ถอน​ต้น​วัชพืช​ทิ้ง​ไหม​ครับ’ เขา​ตอบ​ว่า ‘ไม่​ต้อง​หรอก เพราะ​กลัว​ว่า​จะ​ถอน​ข้าว​สาลี​ติด​ไป​กับ​ต้น​วัชพืช​ด้วย ปล่อย​ให้​มัน​เติบโต​ไป​ด้วย​กัน​จน​ถึง​ฤดู​เก็บเกี่ยว แล้ว​ข้า​จะ​สั่ง​ให้​คน​งาน​เก็บ​ต้น​วัชพืช​ก่อน แล้ว​มัด​เข้า​ด้วย​กัน เอา​ไป​เผา​ไฟ แล้ว​จึง​ค่อย​มา​เก็บ​ข้าว​สาลี​ไป​ไว้​ใน​ยุ้งฉาง​ของ​ข้า’” พระเยซู​ยัง​เล่า​เรื่อง​เปรียบเทียบ​อีก​เรื่อง​หนึ่ง​ให้​ฟัง​ว่า “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เปรียบ​เหมือน​เมล็ด​มัสตาร์ด​เมล็ด​หนึ่ง ที่​ชาวนา​เอา​ไป​ปลูก​ไว้​ใน​ไร่​ของ​เขา มัน​เป็น​เมล็ด​ที่​เล็ก​ที่​สุด​ใน​จำนวน​เมล็ด​ทั้งหมด แต่​เมื่อ​มัน​โต​ขึ้น​มา มัน​กลับ​สูง​ใหญ่​กว่า​พืช​สวนครัว​ทั้งหมด​และ​กลาย​เป็น​ต้น​ที่​นก​มา​ทำ​รัง​ตาม​กิ่ง​ก้าน​ของ​มัน​ได้” แล้ว​พระเยซู​เล่า​เรื่อง​เปรียบเทียบ​อีก​เรื่อง​หนึ่ง​ให้​ฟัง​ว่า “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เปรียบ​เหมือน​กับ​เชื้อฟู ที่​ผู้หญิง​คน​หนึ่ง​ผสม​ลง​ไป​ใน​แป้ง​สามถัง แล้ว​มัน​ก็​ทำ​ให้​แป้ง​ทั้ง​ก้อน​ฟู​ขึ้น​มา” พระเยซู​เล่า​เรื่อง​พวกนี้​ให้​ฟัง และ​ใช้​เรื่อง​เปรียบ​เทียบ​ทั้งหมด ไม่​มี​สัก​เรื่อง​เลย ที่​ไม่​ได้​ใช้​เรื่อง​เปรียบเทียบ​เล่า ซึ่ง​ก็​เป็น​จริง​ตาม​ที่​ผู้พูดแทนพระเจ้า​พูด​ไว้​ว่า “เรา​จะ​พูด​ออก​มา​เป็น​เรื่อง​เปรียบเทียบ เรา​จะ​พูด​ถึง​ความลับ​ที่​ถูก​ปกปิด​ไว้​ตั้งแต่​สร้าง​โลก​มา” พระเยซู​จาก​ฝูงชน​มา แล้ว​เข้า​ไป​ใน​บ้าน พวก​ศิษย์​เข้า​มา​บอก​พระองค์​ว่า “ช่วย​อธิบาย​เรื่อง​ต้น​วัชพืช​ใน​นา​นั้น​ให้​หน่อย​ครับ” พระองค์​ตอบ​ว่า “คน​ที่​หว่าน​เมล็ด​พืชพันธุ์​ดี​คือ บุตรมนุษย์ ไร่นา​คือ​โลกนี้ เมล็ด​พืชพันธุ์​ดี​คือ​คน​ของ​อาณาจักร​ของ​พระเจ้า ต้น​วัชพืช​คือ​คน​ของ​มารร้าย ศัตรู​ที่​เข้า​มา​หว่าน​วัชพืช​คือ​มารร้าย ฤดู​เก็บเกี่ยว​คือ​วัน​สิ้น​ยุค และ​พวก​คน​งาน​ที่​เก็บเกี่ยว​ก็​คือ​พวก​ทูตสวรรค์ ต้น​วัชพืช​ถูก​ถอน​ไป​เผา​ไฟ​อย่างไร เมื่อ​วัน​สิ้น​ยุค​มา​ถึง​ก็​จะ​เป็น​อย่าง​นั้น บุตรมนุษย์​จะ​ส่ง​ทูตสวรรค์​ของ​พระองค์​ออก​ไป​รวบรวม​ทุก​อย่าง​ที่​ทำ​ให้​คน​ทำ​บาป​และ​คน​ที่​ทำ​ชั่ว ให้​ออก​ไป​จาก​อาณาจักร​ของ​พระองค์ ทูตสวรรค์​จะ​เอา​คน​พวกนี้ ไป​โยน​ลง​ใน​เตาไฟ​ที่​ร้อนแรง ที่​มี​แต่​เสียง​ร้องไห้​โหยหวน​อย่าง​เจ็บปวด แล้ว​คน​ที่​ทำ​ตามใจ​พระเจ้า​ก็​จะ​ส่อง​สว่าง​เหมือน​กับ​ดวง​อาทิตย์​ใน​อาณาจักร​ของ​พระบิดา​ของ​พวก​เขา ใคร​มี​หู ก็​ฟัง​ไว้​ให้​ดี” “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เหมือน​กับ​ทรัพย์​สมบัติ​ที่​ซ่อน​ไว้​ใน​ทุ่งนา เมื่อ​มี​คน​มา​พบ​เข้า​ก็​เอา​ไป​ซ่อน​ไว้​เหมือน​เดิม และ​ด้วย​ความ​ดีใจ​จึง​ไป​ขาย​ทุก​สิ่ง​ทุก​อย่าง​ที่​เขา​มี แล้ว​ไป​ซื้อ​ที่​นา​นั้น” “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เหมือน​พ่อค้า​ที่​ไป​หา​ไข่มุก​เม็ด​งาม เมื่อ​ได้​พบ​ไข่มุก​ที่​มี​ค่า​มหาศาล​เม็ด​หนึ่ง จึง​ไป​ขาย​ทุก​สิ่ง​ทุก​อย่าง​ที่​เขา​มี และ​ไป​ซื้อ​ไข่มุก​เม็ด​นั้น” “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เหมือน​อวน​ที่​ทอด​อยู่​ใน​ทะเลสาบ​และ​จับ​ปลา​ได้​หลาย​ชนิด เมื่อ​อวน​เต็ม ก็​ลาก​อวน​ขึ้น​ฝั่ง นั่ง​เลือก​แต่​ปลา​ที่​ดีๆ​ใส่​เข่ง และ​โยน​ปลา​ที่​ไม่​ดี​ทิ้ง​ไป ใน​วัน​สิ้น​ยุค​ก็​จะ​เป็น​อย่าง​นั้น เหล่า​ทูตสวรรค์​จะ​ออก​มา​แยก​พวก​คนชั่ว​ออก​จาก​พวก​คนดี แล้ว​จะ​โยน​พวก​คนชั่ว​ลง​ใน​เตาไฟ​ที่​ร้อนแรง​ที่​มี​แต่​เสียง​ร้องไห้​โหยหวน​อย่าง​เจ็บปวด” “ทั้งหมด​ที่​เรา​พูด​มา​นี้ พวก​คุณ​เข้าใจ​แล้ว​หรือ​ยัง” พวก​ศิษย์​ตอบ​ว่า “เข้าใจ​แล้ว​ครับ” พระเยซู​จึง​พูด​กับ​พวก​ศิษย์​ว่า “พวก​ครู​สอน​กฎปฏิบัติ​ทุก​คน ที่​ได้​เรียนรู้​ถึง​อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​แล้ว ก็​เหมือน​เจ้าของ​บ้าน​คน​หนึ่ง ที่​ได้​เอา​สมบัติ​ทั้ง​เก่า​และ​ใหม่​ออก​มา​จาก​ห้อง​เก็บ​ของ” เมื่อ​พระเยซู​เล่า​เรื่อง​เปรียบเทียบ​พวกนี้​เสร็จ​แล้ว พระองค์​ได้​ไป​จาก​ที่​นั่น

มัทธิว 13:1-53 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)

ในวันนั้นพระเยซูเสด็จจากบ้านไปประทับที่ชายทะเลสาบ มีมหาชนมาหาพระองค์ พระองค์จึงเสด็จลงไปประทับในเรือ และฝูงชนทั้งหมดก็ยืนอยู่บนฝั่ง แล้วพระองค์ก็ตรัสกับเขาทั้งหลายเป็นอุปมาหลายเรื่อง เป็นต้นว่า “นี่แน่ะ มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกก็มากินเสีย บ้างก็ตกในที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินน้อย จึงงอกขึ้นอย่างเร็วเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นมันก็ถูกแผดเผา จึงเหี่ยวไปเพราะรากไม่มี บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง ใครมีหูจงฟังเถิด” ส่วนสาวกทั้งหลายจึงมาทูลพระองค์ว่า “ทำไมพระองค์ตรัสกับพวกเขาเป็นอุปมา?” พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ข้อความลึกลับแห่งแผ่นดินสวรรค์ โปรดให้พวกท่านรู้ได้ แต่คนเหล่านั้นไม่โปรดให้รู้ เพราะว่าใครมีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้คนนั้นมีเหลือเฟือ แต่คนที่ไม่มีนั้น แม้ที่เขามีอยู่ก็จะเอาไปจากเขา เพราะเหตุนี้ เราจึงกล่าวกับเขาทั้งหลายเป็นอุปมา เพราะว่าถึงเขาเห็นก็เหมือนไม่เห็น ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ สภาพของพวกเขาก็เป็นไปตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่ว่า ‘พวกเจ้าจะได้ยินกับหูก็จริง แต่จะไม่เข้าใจ จะดูก็จริง แต่จะไม่เห็น เพราะว่าชนชาตินี้กลายเป็นคนมีใจเฉื่อยชา หูก็ตึง และตาของพวกเขาก็ปิด เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตา จะได้ยินด้วยหู และจะได้เข้าใจด้วยจิตใจ แล้วจะหันกลับมา และเราจะรักษาพวกเขาให้หาย’ “แต่นัยน์ตาของท่านทั้งหลายก็เป็นสุขเพราะได้เห็น และหูของท่านก็เป็นสุขเพราะได้ยิน เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมจำนวนมาก ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ แต่ก็ไม่เคยได้เห็น และอยากจะได้ยินสิ่งที่พวกท่านได้ยิน แต่ก็ไม่เคยได้ยิน “เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงฟังอุปมาเรื่องผู้หว่านพืชนั้น เมื่อใครได้ยินคำบอกเล่าเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้แก่เมล็ดพืชซึ่งหว่านตกริมหนทาง และเมล็ดพืชซึ่งหว่านตกในที่ดินซึ่งมีพื้นหินนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความยินดี แต่ไม่มีรากลึกในตัวจึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบาก หรือการข่มเหงต่างๆ เพราะพระวจนะนั้น เขาก็เลิกเสียในทันทีทันใด และเมล็ดซึ่งหว่านกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แต่ความกังวลของโลก และการล่อลวงของทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะนั้นเสีย จึงไม่เกิดผล ส่วนเมล็ดซึ่งหว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง” พระองค์ตรัสอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนคนหนึ่งได้หว่านเมล็ดพืชดีในนาของตน แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวดีนั้นไว้แล้วก็หลบไป เมื่อต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ขึ้นมาปรากฏด้วย บรรดาทาสของเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีไว้ในนาของท่านไม่ใช่หรือ? แต่มีข้าวละมานมาจากไหน?’ นายก็ตอบว่า ‘นี่เป็นการกระทำของศัตรู’ ทาสเหล่านั้นจึงถามว่า ‘ท่านปรารถนาจะให้เราไปถอนและเก็บข้าวละมานไหม?’ แต่นายตอบว่า ‘อย่าเลย เกรงว่าเมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวดีด้วย ให้ทั้งสองเติบโตไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งบรรดาผู้เกี่ยวว่า “จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่ข้าวดีนั้นจงรวบรวมไว้ในยุ้งฉางของเรา” ’ ” พระองค์ยังตรัสอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด เมล็ดหนึ่ง ซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และเติบโตเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้” พระองค์ยังตรัสอุปมาให้พวกเขาฟังอีกเรื่องหนึ่งว่า “แผ่นดินสวรรค์เป็นเหมือนเชื้อ ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแป้งสามถังจนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด” ข้อความทั้งหมดนี้ พระองค์ตรัสกับฝูงชนเป็นอุปมา และนอกจากอุปมา พระองค์ไม่ได้ตรัสกับพวกเขาเลย ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะที่กล่าวโดยผู้เผยพระวจนะว่า “เราจะอ้าปากกล่าวอุปมา เราจะกล่าวข้อความ ซึ่งปิดซ่อนไว้ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก” แล้วพระเยซูเสด็จไปจากฝูงชนเข้าไปในบ้าน พวกสาวกมาเฝ้าพระองค์ทูลว่า “ขอพระองค์โปรดอธิบายให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเข้าใจอุปมาเรื่องข้าวละมานในนานั้น” พระองค์ตรัสตอบว่า “ผู้หว่านเมล็ดพืชดีนั้นได้แก่บุตรมนุษย์ และนานั้นได้แก่โลก ส่วนเมล็ดพืชดีได้แก่พลเมืองแห่งแผ่นดินของพระเจ้า แต่ข้าวละมานได้แก่พลเมืองของมารร้าย ศัตรูผู้หว่านเมล็ดพืชเลวได้แก่มารนั้น ฤดูเกี่ยวได้แก่เวลาสิ้นยุค และผู้เกี่ยวทั้งหลายนั้นได้แก่ทูตสวรรค์ เพราะฉะนั้นเขาเก็บข้าวละมานเผาไฟเสียอย่างไร เมื่อเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น บุตรมนุษย์จะใช้บรรดาทูตสวรรค์ของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด และพวกผู้ที่ทำชั่วไปจากแผ่นดินของท่าน และจะทิ้งลงในเตาไฟที่ลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เวลานั้นบรรดาคนชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในแผ่นดินพระบิดาของพวกเขาดุจดวงอาทิตย์ ใครมีหูจงฟังเถิด “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่อมีผู้พบแล้วก็กลับซ่อนเสียอีก และเพราะความยินดีจึงไปขายทุกสิ่งที่เขามีอยู่แล้วไปซื้อนานั้น “อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่มุกอย่างดี และเมื่อพบไข่มุกเม็ดหนึ่งมีค่ามาก ก็ไปขายทุกสิ่งซึ่งเขามีอยู่ ไปซื้อไข่มุกนั้น “อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนอวนที่ลากอยู่ในทะเล ติดปลามาทุกชนิด เมื่อเต็มแล้วเขาก็ลากขึ้นฝั่ง นั่งเลือกเอาแต่ที่ดีใส่ตะกร้า แต่ที่ไม่ดีนั้นก็ทิ้งเสีย ในเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น ทูตสวรรค์ทั้งหลายจะออกมาแยกพวกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม แล้วจะทิ้งลงในเตาไฟที่ลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน” “ข้อความเหล่านี้ท่านทั้งหลายเข้าใจแล้วหรือ?” พวกเขาทูลตอบพระองค์ว่า “เข้าใจพระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เพราะเหตุนี้พวกธรรมาจารย์ทุกคน ที่ได้เรียนรู้ถึงแผ่นดินสวรรค์แล้ว ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่เอาทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน” เมื่อพระเยซูตรัสอุปมาเหล่านี้เสร็จแล้ว ก็เสด็จไปจากที่นั่น

มัทธิว 13:1-53 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)

ในวันนั้นเองพระเยซู​ได้​เสด็จจากเรือนไปประทั​บท​ี่​ชายทะเล มี​คนพากันมาหาพระองค์มากนัก พระองค์​จึงเสด็จลงไปประทับในเรือ และบรรดาคนเหล่านั้​นก​็ยืนอยู่บนฝั่ง แล​้วพระองค์​ก็​ตรัสกับเขาหลายประการเป็นคำอุปมาว่า “​ดู​เถิด มี​ผู้​หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพื​ชก​็ตกตามหนทางบ้างแล้วนกก็​มาก​ินเสีย บ้างก็ตกในที่ซึ่​งม​ีพื้นหิน มี​เนื้​อด​ินแต่​น้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่​ลึก แต่​เมื่อแดดจัดแดดก็​แผดเผา เพราะรากไม่​มี​จึงเหี่ยวไป บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย บ้างก็ตกที่​ดิ​นดี แล​้วเกิดผล ร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง ใครมี​หู​จงฟังเถิด” ฝ่ายพวกสาวกจึงมาทูลพระองค์​ว่า “​เหตุ​ไฉนพระองค์ตรัสกับเขาเป็นคำอุปมา” พระองค์​ตรัสตอบเขาว่า “เพราะว่าข้อความลึ​กล​ับของอาณาจักรแห่งสวรรค์ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้​ได้ แต่​คนเหล่านั้นไม่โปรดให้​รู้ ด้วยว่าผู้ใดมี​อยู่​แล้ว จะเพิ่มเติมให้คนนั้​นม​ี​เหลือเฟือ แต่​ผู้​ใดที่​ไม่มี​นั้น แม้ว​่าซึ่งเขามี​อยู่​จะต้องเอาไปจากเขา เหตุ​ฉะนั้น เราจึงกล่าวแก่เขาเป็นคำอุปมา เพราะว่าถึงเขาเห็​นก​็เหมือนไม่​เห็น ถึงได้ยิ​นก​็เหมือนไม่​ได้​ยินและไม่​เข้าใจ คำพยากรณ์​ของอิสยาห์​ก็​สำเร็จในคนเหล่านั้​นที​่​ว่า ‘พวกเจ้าจะได้ยิ​นก​็​จริง แต่​จะไม่​เข้าใจ จะดู​ก็​จริง แต่​จะไม่​รับรู้ เพราะว่าชนชาติ​นี้​กลายเป็นคนมีใจเฉื่อยชา หูก​็​ตึง และตาเขาเขาก็​ปิด เกรงว่าในเวลาใดเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และได้ยินด้วยหูของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และจะหันกลับมา และเราจะได้รักษาเขาให้​หาย​’ แต่​ตาของท่านทั้งหลายก็เป็นสุขเพราะได้​เห็น และหูของท่านก็เป็นสุขเพราะได้​ยิน เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ศาสดาพยากรณ์​และผู้ชอบธรรมเป็​นอ​ันมากได้ปรารถนาจะเห็นซึ่งท่านทั้งหลายเห็นอยู่​นี้ แต่​เขามิเคยได้​เห็น และอยากจะได้ยินซึ่งท่านทั้งหลายได้​ยิน แต่​เขาก็​มิ​เคยได้​ยิน เหตุ​ฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังคำอุปมาว่าด้วยผู้หว่านพื​ชน​ั้น เมื่อผู้ใดได้ยินพระวจนะแห่งอาณาจั​กรน​ั้นแต่​ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาพืชซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้​แก่​ผู้​ซึ่งรับเมล็ดริมหนทาง และผู้​ที่​รับเมล็ดซึ่งตกในที่​ดิ​นซึ่​งม​ีพื้นหินนั้น ได้แก่​บุ​คคลที่​ได้​ยินพระวจนะ แล้วก็​รั​บท​ั​นที​ด้วยความปรี​ดี แต่​ไม่มี​รากในตัวเองจึงทนอยู่​ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบากหรือการข่มเหงต่างๆเพราะพระวจนะนั้น ต่อมาเขาก็เลิกเสีย ผู้​ที่​รับเมล็ดซึ่งตกกลางหนามนั้น ได้แก่​บุ​คคลที่​ได้​ฟังพระวจนะ แล​้วความกังวลตามธรรมดาโลก และการล่อลวงแห่งทรัพย์​สมบัติ​ก็​รัดพระวจนะนั้นเสีย และเขาจึงไม่​เกิดผล ส่วนผู้​ที่​รับเมล็ดซึ่งตกในดินดี​นั้น ได้แก่​บุ​คคลที่​ได้​ยินพระวจนะและเข้าใจ คนนั้​นก​็​เก​ิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง” พระองค์​ตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนชายคนหนึ่งได้หว่านพืชดีในนาของตน แต่​เมื่อคนทั้งหลายนอนหลั​บอย​ู่ ศัตรู​ของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวสาลีนั้นไว้ แล้วก็​หลบไป ครั้นต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ปรากฏขึ้นด้วย พวกผู้​รับใช้​แห่​งเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีในนาของท่านมิ​ใช่​หรือ แต่​มี​ข้าวละมานมาจากไหน’ นายก​็ตอบพวกเขาว่า ‘​นี้​เป็นการกระทำของศั​ตรู​’ พวกผู้​รับใช้​จึงถามนายว่า ‘ท่านปรารถนาจะให้พวกเราไปถอนและเก็บข้าวละมานหรือ’ แต่​นายตอบว่า ‘อย่าเลย เกล​ือกว่าเมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวสาลี​ด้วย ให้​ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดู​เกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้​เก​ี่ยวว่า “จงเก็บข้าวละมานก่อนมัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่​ข้าวสาลี​นั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา”’” พระองค์​ยังตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ซึ่งชายคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน เมล็ดนั้​นที​่​จร​ิ​งก​็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่​เมื่องอกขึ้นแล้​วก​็​ใหญ่​ที่​สุดท่ามกลางผักทั้งหลาย และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่​งก​้านของต้นนั้นได้” พระองค์​ยังตรัสคำอุปมาให้เขาฟั​งอ​ีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อ ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแป้งสามถัง จนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด” ข้อความเหล่านี้​ทั้งสิ้น พระเยซู​ตรัสกับหมู่ชนเป็นคำอุปมา และนอกจากคำอุปมา พระองค์​มิได้​ตรัสกับเขาเลย ทั้งนี้​เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสโดยศาสดาพยากรณ์​ว่า ‘เราจะอ้าปากกล่าวคำอุปมา เราจะกล่าวข้อความซึ่งปิดซ่อนไว้​ตั้งแต่​เดิมสร้างโลก’ แล​้วพระเยซูจึงทรงให้ฝูงชนเหล่านั้นจากไปและเสด็จเข้าไปในเรือน พวกสาวกของพระองค์​ก็​มาเฝ้าพระองค์ทูลว่า “ขอพระองค์ทรงโปรดอธิบายให้พวกข้าพระองค์​เข​้าใจคำอุปมาที่ว่าด้วยข้าวละมานในนานั้น” พระองค์​ตรัสตอบเขาว่า “​ผู้​หว่านเมล็ดพืชดีนั้นได้​แก่​บุ​ตรมนุษย์ นาน​ั้นได้​แก่​โลก ส่วนเมล็ดพืชดี​ได้แก่​ลูกหลานแห่งอาณาจั​กร แต่​ข้าวละมานได้​แก่​ลูกหลานของมารร้าย ศัตรู​ผู้​หว่านข้าวละมานได้​แก่​พญามาร ฤดู​เก​ี่ยวได้​แก่​การสิ้นสุดของโลกนี้ และผู้​เก​ี่ยวนั้นได้​แก่​พวกทูตสวรรค์ เหตุ​ฉะนั้น เขาเก็บข้าวละมานเผาไฟเสียอย่างไร ในการสิ้นสุดของโลกนี้​ก็​จะเป็นอย่างนั้น บุ​ตรมนุษย์จะใช้พวกทูตสวรรค์ของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่​ทำให้​หลงผิด และบรรดาผู้​ที่​ทำความชั่วช้าไปจากอาณาจักรของท่าน และจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่​นั่นจะมี​การร้องไห้​ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คราวนั้นผู้ชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในอาณาจักรพระบิดาของเขาดุจดวงอาทิตย์ ใครมี​หู​จงฟังเถิด อี​กประการหนึ่ง อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่​อม​ี​ผู้​ใดพบแล้​วก​็​กล​ับซ่อนเสี​ยอ​ีก และเพราะความปรี​ดี​จึงไปขายสรรพสิ่งซึ่งเขามี​อยู่ แล​้วไปซื้อทุ่งนานั้น อี​กประการหนึ่ง อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่​มุ​กอย่างดี ซึ่งเมื่อได้พบไข่​มุ​กเม็ดหนึ่​งม​ีค่ามาก ก็​ไปขายสิ่งสารพัดซึ่งเขามี​อยู่ ไปซื้อไข่​มุ​กนั้น อี​กประการหนึ่ง อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนอวนที่ลากอยู่ในทะเล ติ​ดปลารวมทุกชนิด ซึ่งเมื่อเต็มแล้วเขาก็ลากขึ้นฝั่งนั่งเลือกเอาแต่​ที่​ดี​ใส่​ในภาชนะ แต่​ที่​ไม่ดี​นั้​นก​็ทิ้งเสีย ในการสิ้นสุดของโลกก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ พวกทูตสวรรค์จะออกมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม แล​้วจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่​นั่นจะมี​การร้องไห้​ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน​” พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า “ข้อความเหล่านี้ท่านทั้งหลายเข้าใจแล้วหรือ” เขาทูลตอบพระองค์​ว่า “​เข้าใจ พระเจ้าข้า” ฝ่ายพระองค์ตรัสกับเขาว่า “เพราะฉะนั้นพวกธรรมาจารย์​ทุ​กคนที่​ได้​รับการสั่งสอนถึงอาณาจักรแห่งสวรรค์​แล้ว ก็​เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่เอาทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน” ต่อมาเมื่อพระเยซู​ได้​ตรัสคำอุปมาเหล่านี้เสร็จแล้ว พระองค์​ก็​เสด็จไปจากที่​นั่น

มัทธิว 13:1-53 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)

ในวันนั้นพระเยซูก็เสด็จจากเรือนไปประทับที่ชายทะเลสาบ มีคนพากันมาหาพระองค์มากนัก พระองค์จึงเสด็จลงไปประทับในเรือและบรรดาคนเหล่านั้นก็ยืนอยู่บนฝั่ง แล้วพระองค์ก็ตรัสกับเขาหลายประการเป็นคำอุปมา เป็นต้นว่า <<ดูเถิด มีคนหนึ่งออกไปหว่านพืช และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกก็มากินเสีย บ้างก็ตกในที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินแต่น้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อแดดจัดแดดก็แผดเผา เพราะรากไม่มีจึงเหี่ยวไป บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง ใครมีหูจงฟังเถิด>> ฝ่ายพวกสาวกจึงมาทูลพระองค์ว่า <<เหตุไฉนพระองค์ตรัสกับเขาเป็นคำอุปมา>> พระองค์ตรัสตอบเขาว่า <<ข้อความลับลึกแห่งแผ่นดินสวรรค์ ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่คนเหล่านั้น ไม่โปรดให้รู้ ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้คนผู้นั้นมีเหลือเฟือ แต่ผู้ที่ไม่มีนั้น แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่จะต้องเอาไปจากเขา เหตุฉะนั้น เราจึงกล่าวแก่เขาเป็นคำอุปมา เพราะว่าถึงเขาเห็นก็เหมือนไม่เห็น ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ ความเป็นอยู่ของเขาก็ตรงตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ ที่ว่า พวกเจ้าจะได้ยินกับหูก็จริงแต่จะไม่เข้าใจ จะดูก็จริง แต่จะไม่เห็น เพราะว่าชนชาตินี้กลายเป็นคนมีใจเฉื่อยชา หูก็ตึง และตาเขา เขาก็ปิด มิฉะนั้นเขาจะเห็นด้วยตา และจะได้ยินด้วยหู และจะได้เข้าใจด้วยจิตใจ แล้วจะหันกลับมา และเราจะได้รักษาเขาให้หาย <<แต่นัยน์ตาของท่านทั้งหลายก็เป็นสุขเพราะได้เห็น และหูของท่านก็เป็นสุขเพราะได้ยิน เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมเป็นอันมาก ได้ปรารถนาจะเห็นซึ่งท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้ แต่เขามิเคยได้เห็น และอยากจะได้ยินซึ่งท่านทั้งหลายได้ยิน แต่เขาก็มิเคยได้ยิน <<เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงฟังคำอุปมาว่าด้วยผู้หว่านพืชนั้น เมื่อผู้ใดได้ยินคำบอกเล่าเรื่องแผ่นดินพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาพืชซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้แก่เมล็ดพืชซึ่งหว่านตกริมหนทาง และเมล็ดพืชซึ่งหว่านตกในที่ดินซึ่งมีพื้นหินนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความปรีดี แต่ไม่ฝังลึกในตัวจึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบาก หรือการข่มเหงต่างๆ เพราะพระวจนะนั้น เขาก็เลิกเสียในทันทีทันใด และพืชซึ่งหว่านกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะนั้นเสีย จึงไม่เกิดผล ส่วนพืชซึ่งหว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง>> พระองค์ตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า <<แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือน คนหนึ่งได้หว่านพืชดีในนาของตน แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวดีนั้นไว้แล้วก็หลบไป ครั้นต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ขึ้นปรากฏด้วย ทาสแห่งเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า <นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีไว้ในนาของท่านมิใช่หรือ แต่มีข้าวละมานมาจากไหน> นายก็ตอบว่า <นี่เป็นการกระทำของศัตรู> พวกทาสจึงถามว่า <ท่านปรารถนาจะให้พวกเราไปถอนและเก็บข้าวละมานหรือ> แต่นายตอบว่า <อย่าเลยเกลือกว่า เมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวดีด้วย ให้ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้เกี่ยวว่า <จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่ข้าวดีนั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา> >> พระองค์ยังตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า <<แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่ง ซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้>> พระองค์ยังตรัสคำอุปมาให้เขาฟังอีกข้อหนึ่งว่า <<แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อ ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแป้งสามถัง จนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด>> ข้อความเหล่านี้ทั้งสิ้น พระองค์ตรัสกับหมู่ชนเป็นคำอุปมา และนอกจากคำอุปมา พระองค์มิได้ตรัสกับเขาเลย ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะ ที่ตรัสโดยผู้เผยพระวจนะว่า เราจะอ้าปากกล่าวคำอุปมา เราจะกล่าวข้อความ ซึ่งปิดซ่อนไว้ตั้งแต่เดิมสร้างโลก แล้วพระเยซูเสด็จไปจากคนเหล่านั้นเข้าไปในเรือน พวกสาวกมาเฝ้าพระองค์ทูลว่า <<ขอพระองค์ทรงโปรดอธิบายให้พวกข้าพระองค์เข้าใจคำอุปมาที่ว่าด้วยข้าวละมานในนานั้น>> พระองค์ตรัสตอบเขาว่า <<ผู้หว่านเมล็ดพืชดีนั้นได้แก่บุตรมนุษย์ และนานั้นได้แก่โลก ส่วนเมล็ดพืชดีได้แก่พลเมืองแห่งแผ่นดินของพระเจ้า แต่ข้าวละมานได้แก่พลเมืองของมารร้าย ศัตรูผู้หว่านเมล็ดพืชชั่วได้แก่มารนั้น ฤดูเกี่ยวได้แก่เวลาสิ้นยุค และผู้เกี่ยวนั้นได้แก่ทูตสวรรค์ เหตุฉะนั้นเขาเก็บข้าวละมานเผาไฟเสียอย่างไร เมื่อเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น บุตรมนุษย์จะใช้ทูตของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด และบรรดาผู้ที่กระทำชั่วไปจากแผ่นดินของท่าน และจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คราวนั้นผู้ชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในแผ่นดินพระบิดาของเขาดุจดวงอาทิตย์ ใครมีหูจงฟังเถิด <<แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่อมีผู้ได้พบแล้วก็กลับซ่อนเสียอีก และเพราะความปรีดีจึงไปขายสรรพสิ่งซึ่งเขามีอยู่แล้วไปซื้อนานั้น <<อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่มุกอย่างดี และเมื่อได้พบไข่มุกเม็ดหนึ่งมีค่ามาก ก็ไปขายสิ่งสารพัดซึ่งเขามีอยู่ ไปซื้อไข่มุกนั้น <<อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนอวนที่ลากอยู่ในทะเล ติดปลารวมทุกชนิด เมื่อเต็มแล้วเขาก็ลากขึ้นฝั่ง นั่งเลือกเอาแต่ที่ดีใส่ตะกร้า แต่ที่ไม่ดีนั้นก็ทิ้งเสีย ในเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น พวกทูตสวรรค์จะออกมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม แล้วจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน <<ข้อความเหล่านี้ท่านทั้งหลายเข้าใจแล้วหรือ>> เขาทูลตอบพระองค์ว่า <<เข้าใจพระเจ้าข้า>> ฝ่ายพระองค์ตรัสกับเขาว่า <<เพราะฉะนั้นพวกธรรมาจารย์ทุกคน ที่ได้เรียนรู้ถึงแผ่นดินพระเจ้าแล้ว ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่เอาทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน>> เมื่อพระเยซูได้ตรัสคำเหล่านี้เสร็จแล้ว ก็เสด็จไปจากที่นั่น

มัทธิว 13:1-53 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)

ในวันเดียวกันนั้นพระเยซูเสด็จจากบ้านไปประทับที่ริมทะเลสาบ มีฝูงชนมากมายยิ่งนักมารุมล้อมพระองค์ พระองค์จึงทรงลงไปประทับในเรือขณะที่ประชาชนทั้งปวงยืนอยู่บนฝั่ง แล้วพระองค์ตรัสหลายสิ่งกับพวกเขาเป็นคำอุปมาเช่น “ชาวนาคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่หว่าน บางเมล็ดก็ตกตามทางและนกมาจิกกินไปหมด บางเมล็ดตกบนพื้นกรวดหิน มีเนื้อดินน้อยจึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อแดดเผาก็เหี่ยวไปเพราะไม่มีราก บางเมล็ดตกกลางพงหนามโดนหนามงอกคลุม แต่ยังมีบางเมล็ดที่ตกบนดินดีซึ่งเกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่าน ใครมีหู จงฟังเถิด” เหล่าสาวกมาหาพระองค์และทูลถามว่า “เหตุใดพระองค์จึงตรัสกับประชาชนเป็นคำอุปมา?” พระเยซูทรงตอบว่า “ความลับของอาณาจักรสวรรค์ทรงให้พวกท่านรู้ แต่ไม่ทรงให้พวกเขารู้ ผู้ใดมีอยู่แล้วจะได้รับเพิ่มขึ้นจนมีล้นเหลือ ส่วนผู้ที่ไม่มีแม้ซึ่งเขามีอยู่ก็จะถูกริบไปจากเขา ด้วยเหตุนี้เราจึงกล่าวกับพวกเขาเป็นคำอุปมาคือ “แม้ได้ดู แต่พวกเขาก็ไม่เห็น แม้ได้ฟัง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ยินหรือไม่เข้าใจ เป็นจริงตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่ว่า “ ‘เจ้าจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่มีวันเข้าใจ เจ้าจะดูแล้วดูเล่า แต่จะไม่มีวันประจักษ์ เพราะจิตใจของชนชาตินี้ดื้อด้านไป พวกเขาไม่ยอมเปิดหูเปิดตา มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะได้เห็นกับตา ได้ยินกับหู เข้าใจด้วยจิตใจ และหันกลับมา แล้วเราจะรักษาพวกเขาให้หาย’ แต่ตาของท่านเป็นสุขเพราะได้เห็น หูของท่านเป็นสุขเพราะได้ยิน เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมมากมายปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็นแต่ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ยินสิ่งที่พวกท่านได้ยินแต่ก็ไม่ได้ยิน “จงฟังความหมายของคำอุปมาเรื่องผู้หว่านนี้คือ เมื่อผู้ใดได้ยินเนื้อความเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้าและไม่เข้าใจ มารก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไป นี่คือเมล็ดพืชที่หว่านตามทาง เมล็ดพืชที่ตกลงบนพื้นที่มีหินมากคือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้วก็รับไว้ทันทีด้วยความยินดี แต่เพราะไม่หยั่งรากลึก จึงคงอยู่แค่ชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหาหรือการข่มเหงเนื่องด้วยพระวจนะนั้นก็เลิกราไปอย่างรวดเร็ว เมล็ดพืชที่ตกกลางพงหนามคือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแต่ถูกความพะวักพะวนในชีวิตนี้ และความหลอกลวงของทรัพย์สมบัติรัดเสียทำให้ไม่เกิดผล ส่วนเมล็ดพืชซึ่งตกในดินดีนั้นคือผู้ที่ได้ยินพระวจนะและเข้าใจก็เกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่านลงไป” พระเยซูทรงยกคำอุปมาอีกว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนคนหว่านเมล็ดพันธุ์ดีในนาของตน แต่ขณะที่ทุกคนหลับอยู่ศัตรูของเขามาหว่านวัชพืชแทรกปนกับข้าวสาลีแล้วก็จากไป เมื่อข้าวสาลีงอกและออกรวง วัชพืชก็ปรากฏขึ้นด้วย “คนรับใช้มาบอกเจ้าของนาว่า ‘นายขอรับ ท่านหว่านข้าวดีในนาไม่ใช่หรือ? ก็แล้ววัชพืชมาจากไหน?’ “นายตอบว่า ‘ฝีมือของศัตรู’ “คนรับใช้ถามว่า ‘ให้พวกเราไปถอนทิ้งดีไหม?’ “นายตอบว่า ‘อย่าเลย เพราะขณะถอนวัชพืชเจ้าอาจจะถอนข้าวสาลีขึ้นมาด้วย ให้ทั้งคู่งอกขึ้นไปด้วยกันจนถึงเวลาเกี่ยว ถึงตอนนั้นเราจะบอกคนเกี่ยวให้เก็บวัชพืชก่อนและมัดเป็นฟ่อนนำไปเผาไฟ แล้วเก็บข้าวสาลีนำมาไว้ในยุ้งฉางของเรา’” พระองค์ทรงยกคำอุปมาอีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งมีคนเอาไปเพาะในทุ่งของตน แม้เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นก็ใหญ่ที่สุดในสวนและกลายเป็นต้นให้นกในอากาศมาเกาะกิ่ง” แล้วทรงยกคำอุปมาอีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อขนมซึ่งผู้หญิงเอาไปผสมในแป้งกองใหญ่จนแป้งทั้งก้อนฟูขึ้น” ทั้งหมดนี้พระเยซูตรัสแก่ฝูงชนเป็นคำอุปมา พระองค์ไม่ได้ตรัสสิ่งใดกับพวกเขาเลยนอกจากคำอุปมา ทั้งนี้เป็นจริงตามที่กล่าวไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า “ข้าพเจ้าจะเอื้อนเอ่ยคำอุปมา จะเผยสิ่งที่ซ่อนเร้นไว้ตั้งแต่ครั้งทรงสร้างโลก” จากนั้นทรงละฝูงชนเข้าไปในบ้าน เหล่าสาวกมาทูลพระองค์ว่า “ขอทรงอธิบายคำอุปมาเรื่องวัชพืชด้วยเถิด” พระเยซูตรัสตอบว่า “ผู้ที่หว่านเมล็ดพันธุ์ดีคือบุตรมนุษย์ นาคือโลก เมล็ดพันธุ์ดีหมายถึงพลเมืองของอาณาจักรของพระเจ้า ส่วนวัชพืชหมายถึงพลเมืองของมาร ศัตรูที่หว่านวัชพืชนั้นคือมาร เวลาเก็บเกี่ยวคือเมื่อสิ้นยุค และผู้เก็บเกี่ยวคือทูตสวรรค์ “วัชพืชถูกถอนมาเผาไฟอย่างไร เมื่อสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น บุตรมนุษย์จะส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มากำจัดทุกสิ่งอันเป็นต้นเหตุของบาปและกำจัดทุกคนที่ทำชั่วออกจากอาณาจักรของพระองค์ แล้วโยนลงในเตาไฟลุกโชนที่ซึ่งจะมีการร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วผู้ชอบธรรมจะส่องสว่างเหมือนดวงตะวันในอาณาจักรของพระบิดาของพวกเขา ใครมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด” “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา เมื่อมีผู้พบเข้าก็กลับซ่อนไว้และด้วยความตื่นเต้นยินดีจึงไปขายทุกสิ่งที่มีแล้วมาซื้อทุ่งนานั้น “อนึ่งอาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม เมื่อเขาได้พบไข่มุกล้ำค่าเม็ดหนึ่งจึงไปขายทุกสิ่งที่มีมาซื้อไข่มุกนั้น “อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับอวนซึ่งทอดลงในทะเลและจับปลาได้สารพัดชนิด พอเต็มแล้วชาวประมงก็ลากอวนขึ้นฝั่งแล้วคัดเอาแต่ปลาที่ดีใส่ตะกร้า ส่วนที่ไม่ดีก็ทิ้งไป เมื่อสิ้นยุคก็จะเป็นเช่นนี้ คือทูตสวรรค์จะมาแยกคนชั่วช้าออกจากคนชอบธรรม และนำไปทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโชนที่ซึ่งจะมีการร่ำไห้และการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน” พระเยซูตรัสถามว่า “ทั้งหมดนี้พวกท่านเข้าใจหรือไม่?” พวกเขาทูลตอบว่า “เข้าใจพระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสว่า “เพราะฉะนั้นธรรมาจารย์ทุกคนที่รับคำสอนเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านซึ่งนำสมบัติใหม่และสมบัติเก่าออกมาจากคลังของตน” เมื่อพระเยซูตรัสคำอุปมาเหล่านี้จบแล้วก็เสด็จออกจากที่นั่น

มัทธิว 13:1-53 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)

ใน​วัน​นั้น พระ​เยซู​ออกจาก​บ้าน​ไป​นั่ง​อยู่ที่​ริม​ฝั่ง​ทะเลสาบ ฝูง​ชน​จำนวน​มาก​มา​ห้อมล้อม​พระ​องค์ พระ​องค์​จึง​ลงไป​นั่ง​ใน​เรือ​โดยที่​ฝูง​ชน​ทั้ง​หมด​ยัง​ยืน​อยู่ที่​ชาย​ทะเล พระ​องค์​กล่าว​เป็น​อุปมา​ให้​เขา​เหล่า​นั้น​ฟัง​หลาย​ต่อ​หลาย​เรื่อง​ว่า “ชาวไร่​คนหนึ่ง​ออกไป​หว่าน​เมล็ดพืช ขณะที่​เขา​กำลัง​หว่าน​เมล็ด บาง​เมล็ด​ตกลง​ตาม​ทาง พวก​นก​พา​กัน​จิก​กิน​เสียหมด บาง​เมล็ด​ตกลง​บน​หิน​ซึ่ง​มี​ผิวดิน​เพียง​เล็กน้อย ไม่​ช้า​เมล็ด​ก็​งอกขึ้น​เพราะ​ดิน​ไม่​ลึก แต่​เมื่อ​ดวง​อาทิตย์​ขึ้น​แดด​ส่อง เมล็ด​เหล่า​นั้น​ก็​ถูก​แผดเผา​เสีย และ​เป็น​เพราะ​ไม่​มี​ราก​จึง​เหี่ยวแห้ง​ไป บาง​เมล็ด​ตกลง​ท่าม​กลาง​ไม้หนาม​ที่​เติบโต​ขึ้น​และ​แย่ง​อาหาร​ไป​เสีย บาง​เมล็ด​ที่​ตก​บน​ดิน​ดี ก็​ให้​ผล​เป็น 100 เท่า บ้าง​เป็น 60 บ้าง​เป็น 30 เท่า​ของ​ที่​ได้​หว่าน​ไว้ ผู้​ใด​มี​หู จง​ฟัง​เถิด” เหล่า​สาวก​มา​พูด​กับ​พระ​องค์​ว่า “ทำไม​พระ​องค์​จึง​กล่าว​เป็น​อุปมา​แก่​พวก​เขา” พระ​องค์​กล่าวตอบ​ว่า “เรา​ทำ​ให้​เจ้า​เข้าใจ​ถึง​ความ​ลับ​ของ​อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​แล้ว แต่​ยัง​ไม่​ได้​ให้​กับ​พวก​เขา​เหล่า​นั้น ผู้​ใด​ก็​ตาม​ที่​มี​อยู่​แล้ว​ก็​จะ​ได้​รับ​มาก​ขึ้น และ​จะ​มี​อย่าง​อุดม​สมบูรณ์ แต่​ผู้​ใด​ที่​ไม่​มี แม้แต่​สิ่ง​ที่​เขา​มี​อยู่ ก็​จะ​ถูก​ยึด​ไป​จาก​เขา​เสีย ฉะนั้น​เรา​จึง​พูด​เป็น​อุปมา​แก่​เขา ‘เพราะ​ขณะที่​กำลัง​มองดู พวก​เขา​ก็​มอง​ไม่​เห็น และ​ขณะที่​กำลัง​ได้ยิน พวก​เขา​ก็​ไม่​ได้ยิน หรือ​ไม่​เข้าใจ’ พวก​เขา​เป็นไป​ตาม​คำกล่าว​ของ​พระ​เจ้า​ที่​อิสยาห์​เผย​ไว้​ว่า ‘เจ้า​จะ​ได้ยิน​เรื่อย​ไป แต่​ไม่​มี​วัน​ที่​จะ​เข้าใจ และ​เจ้า​จะ​มองดู​เรื่อยไป แต่​ไม่​มี​วัน​ที่​จะ​เห็น เพราะ​ว่า​ใจ​ของ​คน​เหล่า​นี้​แข็ง​กระด้าง และ​หู​ของ​เขา​ก็​แทบ​จะ​ไม่​ได้ยิน เขา​ปิด​ตา​ของ​ตนเอง มิฉะนั้น​ตา​ของ​เขา​จะ​มอง​เห็น หู​จะ​ได้ยิน และ​จิตใจ​ของ​เขา​จะ​เข้าใจ และ​หัน​กลับ​มา แล้ว​เรา​จะ​รักษา​เขา​ให้​หายขาด’ แต่​นัยน์ตา​ของ​เจ้า​เป็นสุข​เพราะ​ได้เห็น และ​หู​ของ​เจ้า​เป็นสุข​เพราะ​ได้ยิน เรา​ขอบอก​ความ​จริง​กับ​เจ้า​ว่า ผู้เผย​คำกล่าว​ของ​พระ​เจ้า​และ​ผู้​มี​ความ​ชอบธรรม​หลาย​ท่าน​ใคร่​จะ​เห็น​เช่น​เจ้า​เห็น แต่​ไม่​อาจ​เห็น และ​ใคร่​ได้ยิน​เช่น​เจ้า​ได้ยิน แต่​ไม่​ได้ยิน จง​ฟัง​เรื่อง​อุปมา​ของ​ชาวไร่​คนนั้น เมื่อ​ผู้​ใด​ได้ยิน​เรื่อง​ของ​อาณาจักร แล้ว​ไม่​เข้าใจ​ก็​เหมือน​เมล็ดพืช​ที่​หว่าน​ไว้​ตามทาง มารร้าย​มา​ปล้น​สิ่ง​ที่​ได้​หว่าน​ไว้​ใน​จิตใจ​ของ​เขา เมล็ดพืช​ที่​ตกลง​บน​หิน​ซึ่ง​มี​ผิวดิน​เพียง​เล็กน้อย​เปรียบ​เสมือน​คน​ที่​ได้ยิน​คำกล่าว​และ​รับไว้​ทันที​ด้วย​ความ​ยินดี แต่​เขา​ไม่​มี​รากฐาน​อัน​มั่นคง​ใน​ตัว จึง​คงอยู่​ได้​เพียง​ชั่วคราว​เท่า​นั้น เมื่อ​เกิด​ความ​ลำบาก​หรือ​การ​ข่มเหง​อัน​เนื่อง​มาจาก​คำกล่าว เขา​ก็​ล้มเลิก​ความ​เชื่อ​เสีย​ทันที ส่วน​เมล็ดพืช​ที่​หว่าน​ไว้​ท่าม​กลาง​ไม้หนาม​เปรียบ​เสมือน​คน​ที่​ได้ยิน​คำกล่าว แล้ว​ความ​กังวล​ต่างๆ ใน​โลก และ​แรง​ดึงดูด​ของ​ความ​ร่ำรวย​เข้า​แทรกซ้อน​คำกล่าว จึง​ทำ​ให้​ไม่​บังเกิด​ผล เมล็ดพืช​ที่​ตก​บน​ดิน​ดี​เปรียบ​เสมือน​คน​ที่​ได้ยิน​คำกล่าว และ​เข้าใจ จึง​เกิด​ผล​แท้จริง​เป็น 100 เท่า 60 และ 30 เท่า” พระ​องค์​เล่า​เรื่อง​เป็น​อุปมา​ให้​พวก​เขา​ฟัง​อีกว่า “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เปรียบ​เสมือน​กับ​ชาวไร่​คนหนึ่ง​ที่​ได้​ใช้​เมล็ดพืช​ดี​หว่าน​ใน​นา​ของ​เขา ขณะที่​คน​นอน​หลับ​กัน ศัตรู​ของ​เขา​มา​หว่าน​เมล็ด​วัชพืช​ปนกับ​เมล็ด​ข้าว แล้ว​หนี​ไป เมื่อ​ข้าว​งอกขึ้น​จน​ออก​รวง วัชพืช​ก็​งอกขึ้น​เช่น​กัน บรรดา​ทาส​รับใช้​ของ​เจ้าของ​ที่ดิน​มา​ถาม​เขา​ว่า ‘เจ้านาย ท่าน​ได้​หว่าน​เมล็ด​ดี​ใน​นา​ของ​ท่าน​มิ​ใช่​หรือ แล้ว​มี​วัชพืช​ด้วย​ได้​อย่างไร’ เขา​ตอบ​ทาส​รับใช้​ว่า ‘ศัตรู​เป็น​คน​กระทำ’ ทาส​รับใช้​พูด​ว่า ‘ถ้า​เช่นนั้น​แล้ว ท่าน​จะ​ให้​เรา​ไป​ถอน​มัน​ทิ้ง​ไหม’ แต่​นาย​ตอบ​ว่า ‘อย่า​เลย เพราะ​หากว่า​เจ้า​ถอน​วัชพืช​ออก เจ้า​อาจจะ​พลอย​ถอน​ข้าว​ดี​ไป​ด้วย ปล่อย​ทั้ง​สอง​ชนิด​ให้​โต​ไป​ด้วย​กัน​จนถึง​เวลา​เก็บ​เกี่ยว เมื่อ​ถึง​เวลา​นั้น​แล้ว เรา​จะ​สั่ง​คน​เกี่ยว​ว่า “มัด​รวบ​รวม​วัชพืช​แล้ว​เผา​ไฟ​เสียก่อน แล้ว​จึง​ค่อย​เก็บ​ข้าว​ไว้​ใน​ยุ้ง​ของ​เรา”’” พระ​องค์​เล่า​เรื่อง​อุปมา​ให้​พวก​เขา​ฟัง​อีก​ว่า “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เปรียบ​เสมือน​เมล็ด​พันธุ์​จิ๋ว​ที่​ชาย​คน​หนึ่ง​เอา​ไป​ปลูก​ใน​นา​ของ​เขา เมล็ด​นี้​เล็ก​ที่สุด​ใน​บรรดา​เมล็ด​พืช​อื่นๆ แต่​เมื่อ​เติบโต​เต็มที่​แล้ว มัน​มี​ขนาด​ใหญ่​กว่า​บรรดา​พืช​สวน​ชนิด​อื่น จน​กลาย​เป็น​ต้นไม้​ที่​ฝูง​นก​เข้า​พักพิง​อาศัย​ได้​ตาม​กิ่ง​ของ​มัน” พระ​องค์​กล่าว​เป็น​อุปมา​อีกว่า “อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เปรียบ​เสมือน​เชื้อ​ยีสต์​ที่​หญิง​คน​หนึ่ง​เอา​ไป​ผสม​ใน​แป้ง 3 ถัง​จน​แป้ง​ขึ้น​ฟู​ทั้ง​หมด” พระ​เยซู​เล่า​เรื่อง​เหล่า​นี้​ให้​ฝูง​ชน​ฟัง​เป็น​อุปมา พระ​องค์​ไม่​ได้​กล่าว​สิ่งใด​โดย​ไม่​ใช้​คำ​อุปมา​ให้​พวก​เขา​ฟัง เพื่อ​เป็นไป​ตามที่​ผู้เผย​คำกล่าว​ของ​พระ​เจ้า​กล่าวไว้​คือ “เรา​จะ​เปิด​ปาก​ของ​เรา​กล่าว​คำ​อุปมา เรา​จะ​เล่า​เรื่อง​ที่​ซ่อนเร้น​ตั้งแต่​แรก​สร้าง​โลก” ครั้น​แล้ว​พระ​เยซู​ก็​จาก​ฝูง​ชน​เข้าไป​ใน​บ้าน​หลัง​หนึ่ง สาวก​ของ​พระ​องค์​ได้​กล่าว​กับ​พระ​องค์​ว่า “โปรด​อธิบาย​คำ​อุปมา​เรื่อง​วัชพืช​ใน​นา​ให้​พวก​เรา​ฟัง​ด้วย​เถิด” พระ​องค์​กล่าวตอบ​ว่า “ผู้​ที่​หว่าน​เมล็ดพืช​ชนิด​ดี คือ​บุตรมนุษย์ นา​ก็​คือ​โลก เมล็ดพืช​ชนิด​ดี​คือ​บรรดา​บุตร​ของ​อาณาจักร และ​เมล็ด​วัชพืช​คือ​บรรดา​บุตร​ของ​มารร้าย ศัตรู​ที่​หว่าน​คือ​พญามาร และ​ฤดู​เก็บ​เกี่ยว​แสดง​ถึง​การ​สิ้น​ยุค​นี้ บรรดา​ผู้​เก็บ​เกี่ยว​คือ​ทูต​สวรรค์ ฉะนั้น​เมล็ด​วัชพืช​ถูก​รวบ​รวม​และ​ถูก​ไฟ​เผา​อย่างไร การ​สิ้น​ยุค​นี้​ก็​จะ​เป็น​อย่าง​นั้น บุตรมนุษย์​จะ​ส่ง​เหล่า​ทูต​สวรรค์​ของ​ท่าน​ให้​มา​รวบ​รวม​ทุก​สิ่ง​ที่​เป็น​เหตุ​ให้​คน​ทำบาป และ​พวก​ที่​ประพฤติ​ชั่วร้าย​ไป​เสีย​จาก​อาณาจักร​ของ​ท่าน แล้ว​โยน​พวก​เขา​ลง​ใน​เตาไฟ ณ ที่​นั่น​จะ​มี​การ​ร่ำไห้​และ​ขบเขี้ยว​เคี้ยวฟัน แล้ว​รัศมี​ของ​บรรดา​ผู้​มี​ความ​ชอบธรรม​จะ​สาดส่อง​ดุจ​ดวง​อาทิตย์​ใน​อาณาจักร​ของ​พระ​บิดา​ของ​เขา ผู้​ใด​มี​หู จง​ฟัง​เถิด อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เปรียบ​เสมือน​สมบัติ​ที่​ซ่อน​ไว้​ใน​ทุ่งนา​ซึ่ง​ชาย​คนหนึ่ง​มา​พบ​แล้ว​นำ​ไป​ซ่อน​อีก ชาย​คน​ดัง​กล่าว​ยินดี​ยิ่ง​จึง​ได้​ขาย​ทุก​สิ่ง​ที่​ตน​มี​อยู่ เพื่อ​ซื้อ​ที่​นา​นั้น อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เปรียบ​ได้​อีก​เสมือน​พ่อค้า​คนหนึ่ง​ที่​เสาะหา​ไข่มุก​ชนิด​ดี เมื่อ​พบ​ไข่มุก​เม็ดหนึ่ง​ซึ่ง​มี​ค่า​มหาศาล เขา​ก็​ไป​ขาย​ทุก​สิ่ง​ที่​มีอยู่ แล้ว​มา​ซื้อ​ไข่มุก​นั้น อีก​ประการ​หนึ่ง อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์​เปรียบ​เสมือน​อวน​ที่​ทอด​อยู่ใน​ทะเล มี​ปลา​ทุก​ชนิด​ติดอยู่ เมื่อ​อวน​เต็ม เขา​ก็​ลาก​ขึ้น​ชาย​ฝั่ง​และ​นั่ง​แยก​ปลา​ชนิด​ดี​ใส่​ถัง ส่วนตัว​ที่​ไม่​ดี​ก็​โยน​ทิ้งไป เมื่อ​ถึง​การ​สิ้น​ยุค​นี้​ก็​เช่น​กัน เหล่า​ทูต​สวรรค์​จะ​มา​เอา​ตัว​พวก​คน​ชั่วร้าย​แยก​ไป​จาก​บรรดา​ผู้​มี​ความ​ชอบธรรม แล้ว​โยน​พวก​เขา​ลง​ใน​เตาไฟ ณ ที่​นั่น​จะ​มี​การ​ร่ำไห้​และ​ขบเขี้ยว​เคี้ยวฟัน” พระ​เยซู​ถาม​พวก​เขา​ว่า “เจ้า​เข้าใจ​สิ่ง​เหล่า​นี้​แล้ว​ยัง” พวก​เขา​ตอบ​ว่า “เข้าใจ” พระ​องค์​กล่าว​กับ​พวก​เขา​ว่า “ฉะนั้น​อาจารย์​ฝ่าย​กฎ​บัญญัติ​ทุก​คน​ที่​เรียนรู้​ถึง​อาณาจักร​แห่ง​สวรรค์ เปรียบ​เสมือน​เจ้าบ้าน​ที่​เอา​สมบัติ​ทั้ง​ใหม่​และ​เก่า​ของ​ตน​ออกมา​ให้​ดู” ครั้น​พระ​เยซู​เล่า​เรื่อง​อุปมา​เหล่า​นี้​จบ​แล้ว พระ​องค์​ก็​จาก​ที่นั้น​ไป