ยอห์น 4:4-30
ยอห์น 4:4-30 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)
ซึ่งจะต้องผ่านแคว้นสะมาเรีย ในแคว้นสะมาเรีย พระองค์เดินทางมาถึงเมืองสิคาร์ที่อยู่ใกล้ๆกับที่ดินที่ยาโคบได้ยกให้กับโยเซฟลูกชายของเขา บ่อน้ำของยาโคบตั้งอยู่ที่นั่น พระเยซูนั่งพักเหนื่อยอยู่ข้างๆบ่อน้ำนั้นเพราะเดินทางมาไกล ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน มีหญิงชาวสะมาเรีย คนหนึ่งมาตักน้ำที่บ่อ พระเยซูพูดกับเธอว่า “ขอน้ำดื่มหน่อย” (พระเยซูอยู่คนเดียว เพราะพวกศิษย์ไปหาซื้ออาหารในเมือง) หญิงชาวสะมาเรียพูดว่า “คุณมาขอน้ำฉันดื่มได้ยังไงกัน คุณเป็นคนยิว ฉันเป็นหญิงสะมาเรีย” (ปกติแล้วคนยิวจะไม่ยุ่งเกี่ยว กับคนสะมาเรีย) พระเยซูตอบหญิงนั้นว่า “นี่ถ้าคุณรู้ว่าพระเจ้าอยากให้อะไรกับคุณ และรู้ว่าเราที่ขอน้ำคุณดื่มอยู่นี้เป็นใคร คุณก็คงจะขอจากเรา และเราก็จะให้น้ำที่ให้ชีวิต กับคุณ” หญิงคนนั้นพูดว่า “คุณคะ แล้วคุณจะไปเอาน้ำที่ให้ชีวิตนั้นมาจากไหนล่ะ ในเมื่อถังตักน้ำก็ไม่มี แถมบ่อนี้ก็ลึก คุณคงไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่ายาโคบ บรรพบุรุษของเราที่ให้บ่อน้ำนี้มาหรอกนะ ตัวยาโคบเองกับลูกๆและฝูงสัตว์เลี้ยงของเขาก็ดื่มน้ำจากบ่อนี้กันทั้งนั้นแหละ” พระองค์ตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำจากบ่อนี้ก็จะหิวน้ำอีก แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราให้จะไม่หิวน้ำอีกเลย เพราะน้ำที่เราให้เขาดื่มจะกลายเป็นน้ำพุที่ไหลไม่หยุดอยู่ในตัวเขาและนำชีวิตที่อยู่กับพระเจ้าตลอดไปมาให้” หญิงคนนั้นจึงพูดว่า “คุณคะ ขอน้ำนั้นให้ฉันดื่มบ้างสิคะ จะได้ไม่หิวน้ำอีกและไม่ต้องกลับมาตักน้ำอีก” พระองค์จึงบอกเธอว่า “ไปเรียกสามีของคุณมาที่นี่หน่อย” เธอตอบว่า “ฉันไม่มีสามีค่ะ” พระองค์บอกว่า “เออ ก็จริงของคุณที่บอกว่าไม่มีสามี เพราะคุณมีสามีมาห้าคนแล้ว และคนที่อยู่ด้วยตอนนี้ก็ไม่ใช่สามีของคุณ มันก็จริงอย่างที่คุณบอก” เธอร้องว่า “คุณคะ ฉันเชื่อแล้วว่าคุณเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า บรรพบุรุษของเราได้กราบไหว้บูชาพระเจ้าที่ภูเขานี้ แต่พวกคุณชาวยิวกลับพูดว่าจะต้องไปกราบไหว้บูชาพระเจ้าที่เมืองเยรูซาเล็มเท่านั้น” พระองค์ตอบว่า “เชื่อเราสิ ใกล้จะถึงเวลาแล้วที่มันจะไม่สำคัญอีกต่อไปว่าจะกราบไหว้บูชาพระเจ้าพระบิดาที่ภูเขานี้หรือที่เมืองเยรูซาเล็ม จริงๆแล้วพวกคุณชาวสะมาเรียไม่รู้จักพระเจ้าที่พวกคุณกราบไหว้บูชาอยู่ แต่พวกเราชาวยิวรู้จักพระเจ้าที่พวกเรากราบไหว้บูชา เพราะพระเจ้าจะช่วยโลกนี้ให้รอดโดยผ่านทางชาวยิว แต่เวลานั้นใกล้จะมาถึงแล้ว และตอนนี้ก็มาถึงแล้ว ที่ผู้คนกราบไหว้บูชาอย่างแท้จริงจะต้องกราบไหว้บูชาพระบิดาด้วยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยความจริง คนอย่างนี้แหละที่พระบิดาตามหาให้มากราบไหว้บูชาพระองค์อยู่ พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ ดังนั้นคนที่กราบไหว้บูชาพระองค์จะต้องกราบไหว้บูชาด้วยอำนาจของพระวิญญาณและด้วยความจริง” หญิงคนนั้นจึงพูดว่า “ฉันรู้ว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่า ‘พระคริสต์’) กำลังจะมา และเมื่อพระองค์มาแล้ว พระองค์จะอธิบายทุกอย่างให้เรารู้” พระเยซูบอกเธอว่า “เราเองที่กำลังคุยกับคุณอยู่นี่ คือพระเมสสิยาห์” ขณะนั้นพวกศิษย์ของพระองค์กลับมาถึงพอดี พวกเขาแปลกใจที่เห็นพระองค์กำลังพูดคุยอยู่กับผู้หญิง แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามพระองค์ว่า “อาจารย์ต้องการอะไรหรือครับ” หรือ “ไปพูดกับเธอทำไมครับ” ผู้หญิงคนนั้นทิ้งหม้อน้ำเอาไว้ และเข้าไปบอกผู้คนในเมืองว่า “มาดูผู้ชายที่บอกอดีตของฉันได้สิ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเป็นพระเมสสิยาห์ก็ได้” คนก็พากันออกจากเมืองไปหาพระเยซู
ยอห์น 4:4-30 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)
พระองค์จำเป็นต้องเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย จึงเสด็จผ่านเมืองหนึ่งชื่อสิคาร์ในแคว้นสะมาเรีย ซึ่งอยู่ใกล้ที่ดินที่ยาโคบให้กับโยเซฟบุตรของตน บ่อน้ำของยาโคบก็อยู่ที่นั่น พระเยซูทรงเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย จึงประทับลงที่ข้างบ่อนั้น เวลานั้นประมาณเที่ยง มีหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ พระเยซูตรัสกับนางว่า “ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง” ขณะนั้นสาวกของพระองค์เข้าไปซื้ออาหารในเมือง หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า “ทำไมท่านซึ่งเป็นคนยิวจึงมาขอน้ำดื่มจากดิฉันซึ่งเป็นหญิงชาวสะมาเรีย?” (เพราะพวกยิวไม่คบหาพวกสะมาเรียเลย) พระเยซูตรัสตอบนางว่า “ถ้าเธอรู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเธอว่า ‘ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง’ ก็คงจะขอจากท่านผู้นั้น และผู้นั้นก็คงจะให้น้ำดำรงชีวิตแก่เธอ” นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตัก และบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะเอาน้ำดำรงชีวิตนั้นมาจากไหน? ท่านใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเราผู้ให้บ่อน้ำนี้แก่เราหรือ? ยาโคบเองก็ดื่มจากบ่อนี้รวมทั้งบุตรทั้งหลายและสัตว์เลี้ยงของท่านด้วย” พระเยซูตรัสตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราจะให้กับเขานั้น จะไม่มีวันกระหายอีกเลย น้ำที่เราจะให้เขานั้นจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ขอน้ำนั้นให้ดิฉันเถิด เพื่อดิฉันจะได้ไม่กระหายอีก และจะได้ไม่ต้องมาตักที่นี่” พระเยซูตรัสกับนางว่า “ไปเรียกสามีของเธอมาที่นี่” นางทูลพระองค์ว่า “ดิฉันไม่มีสามีค่ะ” พระเยซูตรัสกับนางว่า “เธอพูดถูกที่ว่าไม่มีสามี เพราะเธอมีสามีถึงห้าคนแล้ว และคนที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่สามีของเธอ เรื่องนี้เธอพูดจริง” นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ดิฉันเห็นจริงๆ แล้วว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ บรรพบุรุษของเรานมัสการที่ภูเขานี้ แต่พวกท่านบอกว่าสถานที่นมัสการนั้นต้องอยู่ที่เยรูซาเล็ม” พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีสักวันหนึ่งที่พวกเธอจะไม่ได้นมัสการพระบิดาทั้งที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม สิ่งที่พวกเธอนมัสการนั้นเธอไม่รู้จัก สิ่งที่พวกเรานมัสการนั้นพวกเรารู้จัก เพราะความรอดมาจากพวกยิว แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนที่นมัสการอย่างแท้จริงจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นมานมัสการพระองค์ พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” นางทูลพระองค์ว่า “ดิฉันทราบว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่าพระคริสต์) จะเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงชี้แจงทุกสิ่งแก่เรา” พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราผู้ที่พูดกับเธอเป็นผู้นั้น” เมื่อพวกสาวกของพระองค์กลับมา พวกเขาก็ประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนากับผู้หญิง แต่ไม่มีใครถามว่า “พระองค์ทรงต้องการอะไร?” หรือ “ทำไมพระองค์ถึงสนทนากับนาง?” ส่วนหญิงคนนั้นก็ทิ้งหม้อน้ำไว้และเข้าไปในเมืองบอกพวกชาวบ้านว่า “มานี่ มาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดที่ฉันเคยทำ ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม?” คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์
ยอห์น 4:4-30 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)
พระองค์จำต้องเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย พระองค์จึงเสด็จไปถึงเมืองหนึ่งชื่อสิคาร์ในแคว้นสะมาเรีย ใกล้ที่ดินซึ่งยาโคบให้แก่โยเซฟบุตรชายของตน บ่อน้ำของยาโคบอยู่ที่นั่น พระเยซูทรงดำเนินทางมาเหน็ดเหนื่อยจึงประทับบนขอบบ่อนั้น เป็นเวลาประมาณเที่ยง มีหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ พระเยซูตรัสกับนางว่า “ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง” (ขณะนั้นสาวกของพระองค์เข้าไปซื้ออาหารในเมือง) หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า “ไฉนท่านผู้เป็นยิวจึงขอน้ำดื่มจากดิฉันผู้เป็นหญิงสะมาเรีย เพราะพวกยิวไม่คบหาชาวสะมาเรียเลย” พระเยซูตรัสตอบนางว่า “ถ้าเจ้าได้รู้จักของประทานของพระเจ้า และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า ‘ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง’ เจ้าจะได้ขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นจะให้น้ำประกอบด้วยชีวิตแก่เจ้า” นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตัก และบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะได้น้ำประกอบด้วยชีวิตนั้นมาจากไหน ท่านเป็นใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเรา ผู้ได้ให้บ่อน้ำนี้แก่เราหรือ และยาโคบเองก็ได้ดื่มจากบ่อนี้รวมทั้งบุตรและฝูงสัตว์ของท่านด้วย” พระเยซูตรัสตอบนางว่า “ผู้ใดที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก แต่ผู้ใดที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้นจะไม่กระหายอีกเลย แต่น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้นจะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ขอน้ำนั้นให้ดิฉันเถิด เพื่อดิฉันจะได้ไม่กระหายอีกและจะได้ไม่ต้องมาตักที่นี่” พระเยซูตรัสกับนางว่า “ไปเรียกสามีของเจ้ามานี่เถิด” นางทูลตอบว่า “ดิฉันไม่มีสามีค่ะ” พระเยซูตรัสกับนางว่า “เจ้าพูดถูกแล้วว่า ‘ดิฉันไม่มีสามี’ เพราะเจ้าได้มีสามีห้าคนแล้ว และคนที่เจ้ามีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่สามีของเจ้า เรื่องนี้เจ้าพูดจริง” นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ดิฉันเห็นจริงแล้วว่าท่านเป็นศาสดาพยากรณ์ บรรพบุรุษของพวกเรานมัสการที่ภูเขานี้ แต่พวกท่านว่าสถานที่ที่ควรนมัสการนั้นคือกรุงเยรูซาเล็ม” พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด จะมีเวลาหนึ่งที่พวกเจ้าจะมิได้ไหว้นมัสการพระบิดาเฉพาะที่ภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งพวกเจ้านมัสการนั้นเจ้าไม่รู้จัก ซึ่งพวกเรานมัสการเรารู้จัก เพราะความรอดนั้นเนื่องมาจากพวกยิว แต่เวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้อง จะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” นางทูลพระองค์ว่า “ดิฉันทราบว่าพระเมสสิยาห์ที่เรียกว่า พระคริสต์ จะเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมาพระองค์จะทรงชี้แจงทุกสิ่งแก่เรา” พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราที่พูดกับเจ้าคือท่านผู้นั้น” ขณะนั้นสาวกของพระองค์ก็มาถึง และเขาประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนากับผู้หญิง แต่ไม่มีใครถามว่า “พระองค์ทรงประสงค์อะไร” หรือ “ทำไมพระองค์จึงทรงสนทนากับนาง” หญิงนั้นจึงทิ้งหม้อน้ำไว้และเข้าไปในเมืองและบอกคนทั้งปวงว่า “มาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้กระทำ ท่านผู้นี้มิใช่พระคริสต์หรือ” คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์
ยอห์น 4:4-30 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)
พระองค์จำต้องเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย พระองค์จึงเสด็จไปถึงเมืองหนึ่ง ชื่อสิคาร์ในแคว้นสะมาเรีย ใกล้ที่ดินซึ่งยาโคบให้แก่โยเซฟบุตรของตน บ่อน้ำของยาโคบอยู่ที่นั่น พระเยซูทรงดำเนินทางมาเหน็ดเหนื่อย จึงประทับลงที่ข้างบ่อนั้น เป็นเวลาประมาณเที่ยง มีหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ พระเยซูตรัสกับนางว่า <<ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง>> ขณะนั้นสาวกของพระองค์เข้าไปซื้ออาหารในเมือง หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า <<ไฉนท่านผู้เป็นยิวจึงขอน้ำดื่มจากดิฉัน ผู้เป็นหญิงชาวสะมาเรีย>> (เพราะพวกยิวไม่คบหาชาวสะมาเรียเลย) พระเยซูตรัสตอบนางว่า <<ถ้าเจ้าได้รู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า <ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง> เจ้าก็คงจะได้ขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นก็คงจะให้น้ำธำรงชีวิตแก่เจ้า>> นางทูลพระองค์ว่า <<ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตัก และบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะได้น้ำธำรงชีวิตนั้นมาจากไหน ท่านเป็นใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเรา ผู้ได้ให้บ่อน้ำนี้แก่เราหรือ และยาโคบเองก็ได้ดื่มจากบ่อนี้รวมทั้งบุตรและฝูงสัตว์ของท่านด้วย>> พระเยซูตรัสตอบว่า <<ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้น จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์>> นางทูลพระองค์ว่า <<ท่านเจ้าคะ ขอน้ำนั้นให้ดิฉันเถิด เพื่อดิฉันจะได้ไม่กระหายอีก และจะได้ไม่ต้องมาตักที่นี่>> พระเยซูตรัสกับนางว่า <<ไปเรียกผัวของเจ้ามานี่เถิด>> นางทูลพระองค์ว่า <<ดิฉันไม่มีผัวค่ะ>> พระเยซูตรัสกับนางว่า <<เจ้าพูดถูกแล้วว่าผัวไม่มี เพราะเจ้าได้มีผัวห้าคนแล้ว และคนที่เจ้ามีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่ผัวของเจ้า เรื่องนี้เจ้าพูดจริง>> นางทูลพระองค์ว่า <<ท่านเจ้าคะ ดิฉันเห็นจริงแล้วว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ บรรพบุรุษของพวกเรานมัสการที่ภูเขานี้ แต่พวกท่านว่าตำบลที่ควรนมัสการนั้น คือเยรูซาเล็ม>> พระเยซูตรัสกับนางว่า <<หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีวันหนึ่งที่พวกเจ้าจะมิได้ไหว้นมัสการพระบิดา เฉพาะที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม ซึ่งเจ้านมัสการนั้นเจ้าไม่รู้จัก ซึ่งพวกเรานมัสการเรารู้จัก เพราะความรอดนั้นมาจากพวกยิว แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง>> นางทูลพระองค์ว่า <<ดิฉันทราบว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่าพระคริสต์) จะเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงชี้แจงทุกสิ่งแก่เรา>> พระเยซูตรัสกับนางว่า <<เราที่พูดกับเจ้าคือท่านผู้นั้น>> ขณะนั้นสาวกของพระองค์ก็มาถึง เขาประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนากับผู้หญิง แต่ไม่มีใครถามว่า <<พระองค์ทรงประสงค์อะไร>> หรือ <<ทำไมพระองค์จึงทรงสนทนากับนาง>> หญิงนั้นจึงทิ้งหม้อน้ำไว้และเข้าไปในเมืองบอกคนทั้งปวงว่า <<มาเถิด มาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้กระทำ ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม>> คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์
ยอห์น 4:4-30 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)
พระองค์ต้องเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย จึงเสด็จมายังเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรียชื่อสิคาร์ ใกล้ที่ดินแปลงที่ยาโคบยกให้โยเซฟบุตรชายของเขา บ่อน้ำของยาโคบอยู่ที่นั่น และพระเยซูทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางจึงประทับนั่งข้างๆ บ่อ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยง เมื่อหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ พระเยซูตรัสกับนางว่า “ขอน้ำให้เราดื่มหน่อยได้ไหม?” (สาวกของพระองค์เข้าไปซื้ออาหารในเมือง) หญิงชาวสะมาเรียทูลว่า “ท่านเป็นยิว ส่วนดิฉันเป็นหญิงชาวสะมาเรีย ท่านมาขอน้ำจากดิฉันได้อย่างไร?” (เพราะชาวยิวไม่คบหากับชาวสะมาเรีย) พระเยซูตรัสตอบนางว่า “ถ้าเจ้ารู้จักของที่พระเจ้าประทานและรู้จักผู้ที่ขอน้ำจากเจ้า เจ้าคงจะขอจากผู้นั้นและผู้นั้นจะให้น้ำซึ่งให้ชีวิตแก่เจ้า” หญิงนั้นทูลว่า “ท่านเจ้าข้า ท่านไม่มีอะไรที่จะใช้ตักน้ำและบ่อก็ลึก ท่านจะได้น้ำซึ่งให้ชีวิตมาจากไหน? ท่านยิ่งใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเราผู้ซึ่งให้บ่อนี้แก่เราหรือ? และยาโคบเองกับลูกหลานตลอดจนฝูงสัตว์ก็ดื่มน้ำจากบ่อนี้” พระเยซูตรัสตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก แต่ผู้ใดดื่มน้ำที่เราให้จะไม่กระหายอีกเลย อันที่จริงน้ำซึ่งเราให้เขานั้นจะกลายเป็นน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นสู่ชีวิตนิรันดร์” หญิงนั้นทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า โปรดให้น้ำนั้นแก่ดิฉันเพื่อดิฉันจะไม่กระหายอีกและไม่ต้องกลับมาตักน้ำที่นี่เสมอๆ” พระเยซูตรัสบอกนางว่า “จงไปเรียกสามีของเจ้ามา” นางทูลว่า “ดิฉันไม่มีสามี” พระเยซูตรัสกับนางว่า “เจ้าพูดถูกที่ว่าไม่มีสามี อันที่จริงเจ้ามีสามีห้าคนแล้ว และชายคนที่เจ้าอยู่ด้วยขณะนี้ก็ไม่ใช่สามีของเจ้า สิ่งที่เจ้าเพิ่งพูดไปนั้นก็ออกจะจริงทีเดียว” หญิงนั้นทูลว่า “ท่านเจ้าข้า ดิฉันเห็นแล้วว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ บรรพบุรุษของเรานมัสการที่ภูเขานี้ แต่พวกท่านชาวยิวอ้างว่าเราต้องนมัสการที่กรุงเยรูซาเล็ม” พระเยซูประกาศว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด ใกล้ถึงเวลาแล้ว เมื่อพวกท่านจะนมัสการพระบิดาไม่ใช่ที่ภูเขานี้หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม พวกท่านชาวสะมาเรียนมัสการสิ่งที่ท่านไม่รู้จัก ส่วนเรานมัสการสิ่งที่เรารู้จักเพราะความรอดมาจากพวกยิว กระนั้นก็ใกล้ถึงเวลาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ผู้นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะพวกเขาเป็น ผู้นมัสการแบบที่พระบิดาทรงแสวงหา พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ ผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” หญิงนั้นทูลว่า “ดิฉันรู้ว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่าพระคริสต์) กำลังเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมาแล้ว จะทรงอธิบายทุกสิ่งแก่เรา” แล้วพระเยซูทรงประกาศว่า “เราที่พูดอยู่กับเจ้าคือผู้นั้น” ขณะนั้นเองเหล่าสาวกก็กลับมาถึง และพากันประหลาดใจที่พบพระองค์ทรงสนทนาอยู่กับผู้หญิง แต่ไม่มีใครทูลถามว่า “พระองค์ทรงประสงค์สิ่งใด?” หรือ “ทำไมพระองค์ทรงสนทนากับนาง?” แล้วหญิงนั้นก็ทิ้งหม้อน้ำ กลับเข้าเมือง และบอกกับผู้คนว่า “มาเถิด มาดูชายผู้หนึ่งซึ่งบอกทุกสิ่งที่ดิฉันเคยทำ ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม?” พวกเขาจึงออกจากเมืองมุ่งหน้ามาหาพระองค์