อพยพ 10:1-29
อพยพ 10:1-29 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)
พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ไปหาฟาโรห์ เพราะเราได้ทำให้เขาและพวกข้าราชการของเขามีจิตใจแข็งกระด้าง เพื่อเราจะได้แสดงสิ่งอัศจรรย์พวกนี้ท่ามกลางพวกเขา เจ้าจะได้เล่าให้ลูกหลานของเจ้าฟังว่า เราได้ทำอะไรไว้กับชาวอียิปต์บ้าง และเล่าถึงสิ่งอัศจรรย์ต่างๆที่เราได้ทำท่ามกลางพวกเขา เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์” โมเสสกับอาโรนจึงไปพบฟาโรห์ และพูดกับพระองค์ว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวฮีบรูพูดไว้อย่างนี้ว่า ‘เจ้าจะไม่ยอมถ่อมตัวลงต่อหน้าเราไปอีกนานแค่ไหน ปล่อยคนของเราไปเพื่อเขาจะได้มารับใช้เรา ถ้าเจ้ายังไม่ยอมปล่อยคนของเรา เราจะส่งฝูงตั๊กแตนมาในประเทศของเจ้าพรุ่งนี้ พวกมันจะปกคลุมไปทั่วพื้นดิน จนไม่มีใครสามารถมองเห็นพื้นดินได้ พวกตั๊กแตนจะกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ยังหลงเหลือให้กับพวกเจ้าหลังจากลูกเห็บตก มันจะกินต้นไม้ทุกต้นของพวกเจ้าที่กำลังเติบโตอยู่ในท้องทุ่ง บ้านเรือนของเจ้า ของพวกข้าราชการของเจ้า และของชาวอียิปต์ จะมีตั๊กแตนเต็มไปหมด พวกพ่อและพวกปู่ของพวกเจ้า จะยังไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อนเลย ตั้งแต่มีชีวิตอยู่บนแผ่นดินนี้มาจนถึงเดี๋ยวนี้’” แล้วโมเสสได้หันออกมาจากฟาโรห์ พวกข้าราชการของฟาโรห์พูดกับฟาโรห์ว่า “ชายคนนี้จะเป็นกับดักสำหรับเราไปอีกนานแค่ไหน ขอให้ท่านปล่อยพวกเขาไปเถอะ เพื่อพวกเขาจะได้ไปรับใช้ยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา นี่ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือว่าอียิปต์กำลังถูกทำลาย” โมเสสและอาโรนจึงถูกนำตัวกลับมา ฟาโรห์พูดกับพวกเขาว่า “ไปรับใช้ยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าซะ แต่บอกมาก่อนว่ามีใครไปบ้าง” โมเสสตอบว่า “ไปกันหมดเลย ทั้งคนหนุ่มสาวและคนแก่ ทั้งลูกชาย ลูกสาว พร้อมทั้งฝูงแกะและฝูงวัวของเรา เพราะเราจะไปร่วมเฉลิมฉลองงานเทศกาลของพระยาห์เวห์” ฟาโรห์พูดกับพวกเขาว่า “ถ้าเราปล่อยแกและพวกลูกๆของแก ก็ขอให้พระยาห์เวห์อยู่กับพวกแกจริงๆเถอะ หน้าพวกแกมันส่อแววชั่วร้ายออกมาชัดๆ ไม่ได้หรอก มีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่ไปรับใช้พระยาห์เวห์ได้ เพราะนั่นคือสิ่งที่แกขอตั้งแต่แรก” แล้วฟาโรห์ก็ได้ไล่โมเสสและอาโรนออกไป พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “กางแขนของเจ้าออกเหนือแผ่นดินอียิปต์เพื่อเรียกฝูงตั๊กแตน เพื่อพวกมันจะได้มาอยู่ทั่วแผ่นดินอียิปต์ และกินพืชผลทั้งหมดบนแผ่นดินที่หลงเหลือจากลูกเห็บตก” โมเสสจึงยื่นไม้เท้าของเขาออกเหนือแผ่นดินอียิปต์ พระยาห์เวห์ทำให้ลมตะวันออกพัดเข้ามาในแผ่นดินอียิปต์ตลอดวันตลอดคืน และในเวลาเช้าลมตะวันออกก็ได้พัดเอาฝูงตั๊กแตนมาด้วย ฝูงตั๊กแตนต่างแห่กันเข้าสู่แผ่นดินอียิปต์และเกาะอยู่บนพื้นดินทั่วเขตแดนอียิปต์ มันรุนแรงมาก ไม่เคยมีตั๊กแตนมากมายขนาดนี้มาก่อน และหลังจากนี้ก็จะไม่มีมากเท่านี้อีกแล้ว มันปกคลุมไปทั่วพื้นแผ่นดิน พื้นดินดูดำทะมึนไปหมด พวกมันกัดกินพืชผักบนดิน และผลไม้บนต้น ที่หลงเหลือจากลูกเห็บตก จนไม่เหลือสีเขียวของต้นไม้หรือพืชผักหลงเหลือทั่วแผ่นดินอียิปต์อีกเลย ฟาโรห์รีบเรียกตัวโมเสสและอาโรนเข้าพบและพูดว่า “เราได้ทำบาปต่อยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้าและต่อพวกเจ้า ได้โปรดยกโทษให้เราอีกสักครั้ง และช่วยอธิษฐานต่อยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า เพื่อพระองค์จะได้ขจัดความตายนี้จากเรา” โมเสสจากฟาโรห์มา และอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ได้ส่งลมตะวันตกพัดผ่านเข้ามาอย่างแรง หอบมันไปตกในทะเลต้นกก ไม่มีตั๊กแตนแม้แต่ตัวเดียวหลงเหลืออยู่ในแผ่นดินอียิปต์ แต่พระยาห์เวห์ได้ทำให้จิตใจของฟาโรห์แข็งกระด้าง เพื่อว่าเขาจะได้ไม่ยอมปล่อยลูกหลานชาวอิสราเอล พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ชูมือเจ้าขึ้นบนท้องฟ้า เพื่อให้เกิดความมืดมิดทั่วแผ่นดินอียิปต์ จะเป็นความมืดที่ทุกคนสัมผัสได้” โมเสสจึงชูมือขึ้นบนท้องฟ้า ทันใดนั้น ความมืดมิดก็ปกคลุมทั่วแผ่นดินอียิปต์เป็นเวลาสามวัน พวกเขาไม่สามารถมองเห็นซึ่งกันและกันได้ พวกเขาจึงไม่ได้ลุกขึ้นจากที่ของพวกเขา เป็นเวลาถึงสามวัน แต่ลูกหลานของอิสราเอลทั้งหมด กลับมีแสงสว่างในย่านที่พวกเขาอยู่กัน ฟาโรห์เรียกตัวโมเสสเข้าพบและพูดว่า “ไปรับใช้ยาห์เวห์ซะ ลูกหลานของพวกเจ้าไปได้ แต่ต้องทิ้งฝูงแกะและฝูงวัวของพวกเจ้าไว้” แต่โมเสสพูดว่า “ท่านต้องให้เครื่องบูชา และพวกเครื่องเผาบูชากับเราเพื่อเราจะได้เอาไปฆ่าถวายให้กับพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา ฝูงสัตว์เลี้ยงจะต้องไปกับพวกเราด้วย จะต้องไม่หลงเหลือไว้แม้แต่ตัวเดียว เพราะเราจะเอาบางตัวไปฆ่าถวายให้กับพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา และเราก็ยังไม่รู้ว่าจะใช้ตัวไหนบูชา จนกว่าเราจะไปถึงที่นั่น” แต่พระยาห์เวห์ทำให้จิตใจของฟาโรห์แข็งกระด้าง ทำให้เขาไม่ยอมปล่อยชาวอิสราเอล ฟาโรห์พูดกับโมเสสว่า “ไปให้พ้นจากเรา ระวังตัวให้ดี อย่าได้มาเจอหน้าเราอีก เพราะถ้าแกเจอหน้าเราเมื่อไหร่ แกจะต้องตายเมื่อนั้น” โมเสสพูดว่า “ขอให้เป็นไปตามที่ท่านพูด ข้าพเจ้าจะไม่มาเจอหน้าท่านอีกแล้ว”
อพยพ 10:1-29 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)
พระยาห์เวห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “จงเข้าไปหาฟาโรห์ เพราะเราได้ทำให้ใจของเขาและใจของบรรดาข้าราชการของเขาแข็งกระด้าง เพื่อเราจะได้แสดงหมายสำคัญเหล่านี้ของเราท่ามกลางพวกเขา เพื่อเจ้าจะได้เล่าเหตุการณ์ที่เราทำในอียิปต์และหมายสำคัญต่างๆ ที่เราทำท่ามกลางพวกเขาให้ลูกหลานของเจ้าฟัง เพื่อพวกเจ้าจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์” โมเสสและอาโรนจึงไปเข้าเฝ้าฟาโรห์ทูลว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของคนฮีบรูตรัสดังนี้ว่า ‘เจ้าจะขัดขืนไม่ยอมอ่อนน้อมต่อเรานานสักเท่าไร? จงปล่อยประชากรของเราไปนมัสการเรา ถ้าเจ้าไม่ยอมปล่อยประชากรของเราไป นี่แน่ะ พรุ่งนี้เราจะให้ตั๊กแตนปาทังก้าเข้ามาในเขตแดนของเจ้า มันจะลงมาเต็มไปหมดจนมองไม่เห็นพื้นดิน และมันจะกินสิ่งที่เหลือจากลูกเห็บทำลาย และมันจะกินต้นไม้ทุกต้นซึ่งงอกขึ้นให้เจ้าในทุ่งนานั้นจนหมด มันจะเข้าไปในราชวัง ในบ้านเรือนของข้าราชการและของคนอียิปต์จนเต็มหมด อย่างที่บิดาและปู่ทวดของเจ้าไม่เคยเห็นเช่นนี้เลยตั้งแต่เกิดมาจนทุกวันนี้’ ” แล้วโมเสสก็หันออกไปจากฟาโรห์ บรรดาข้าราชการกราบทูลฟาโรห์ว่า “คนนี้จะเป็นบ่วงแร้วดักเราอีกนานสักเท่าไร? ขอทรงปล่อยคนเหล่านั้นให้ไปนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาเถิด ฝ่าพระบาททรงทราบแล้วว่าอียิปต์กำลังพินาศไม่ใช่หรือ?” โมเสสและอาโรนถูกนำตัวเข้าเฝ้าฟาโรห์อีก พระองค์จึงตรัสว่า “จงไปนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า แต่ใครจะไปบ้าง?” โมเสสทูลว่า “พวกข้าพระบาทจะพากันไปทั้งคนหนุ่มและผู้อาวุโส ทั้งบุตรชายและบุตรหญิง และฝูงแพะแกะและฝูงโค เพราะพวกข้าพระบาทมีเทศกาลเลี้ยงถวายเกียรติพระยาห์เวห์” ฟาโรห์ตรัสกับเขาทั้งสองว่า “พระยาห์เวห์คงสถิตกับพวกเจ้าแน่ ถ้าเรายอมให้พวกเจ้าไปกับผู้หญิงและเด็กด้วย เจ้าคิดไม่ซื่อแล้ว อนุญาตไม่ได้ จงพาเฉพาะผู้ชายไปนมัสการพระยาห์เวห์ เพราะพวกเจ้าปรารถนาเช่นนี้เท่านั้น” แล้วโมเสสกับอาโรนก็ถูกขับไล่ไปจากพระพักตร์ของฟาโรห์ พระยาห์เวห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “จงเหยียดมือออกเหนือแผ่นดินอียิปต์ แล้วฝูงตั๊กแตนจะขึ้นมาบนแผ่นดินอียิปต์ และกินพืชผักทุกอย่างบนแผ่นดินซึ่งเหลือจากถูกลูกเห็บทำลาย” โมเสสจึงยื่นไม้เท้าออกเหนือแผ่นดินอียิปต์ พระยาห์เวห์ก็ทรงบันดาลให้ลมตะวันออกพัดมาเหนือแผ่นดินตลอดวันและตลอดคืน พอรุ่งเช้า ลมตะวันออกก็หอบฝูงตั๊กแตนมา ฝูงตั๊กแตนลงมาทั่วแผ่นดินอียิปต์ และเกาะอยู่ทั่วเขตแดนอียิปต์ แต่ก่อนไม่เคยมีตั๊กแตนฝูงใหญ่อย่างนี้เลย และต่อไปข้างหน้าก็จะไม่มีอย่างนั้นอีก พวกมันปกคลุมทั่วพื้นแผ่นดินจนมืดไปหมด มันกินพืชผักทุกอย่างในแผ่นดิน และผลไม้ทุกอย่างซึ่งเหลือจากถูกลูกเห็บทำลาย ไม่มีพืชใบเขียวเหลือเลยทั่วแผ่นดินอียิปต์ ไม่ว่าต้นไม้หรือผักในทุ่ง ฟาโรห์ทรงรีบให้คนไปตามตัวโมเสสและอาโรนเข้าเฝ้าแล้วตรัสว่า “เราได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าและต่อเจ้าทั้งสองด้วย ขอเจ้ายกโทษบาปครั้งนี้ให้เราสักครั้งหนึ่งเถิด จงวิงวอนพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า เพื่อพระองค์จะโปรดให้ความตายนี้พ้นไปจากเรา” โมเสสก็ไปจากฟาโรห์ และกราบทูลวิงวอนพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์จึงทรงเปลี่ยนกระแสลมให้เป็นพายุรุนแรงจากทิศตะวันตกหอบฝูงตั๊กแตนไปตกในทะเลแดงจนไม่เหลือเลยสักตัวเดียวทั่วเขตแดนอียิปต์ แต่พระยาห์เวห์ทรงบันดาลให้พระทัยของฟาโรห์กระด้าง ฟาโรห์จึงไม่ทรงยอมปล่อยคนอิสราเอลไป พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงชูมือของเจ้าขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อให้มีความมืดทั่วแผ่นดินอียิปต์ เป็นความมืดจนสัมผัสได้” โมเสสจึงชูมือขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วความมืดทึบก็เกิดขึ้นทั่วแผ่นดินอียิปต์สามวัน พวกเขามองกันไม่เห็น ไม่มีใครลุกไปจากที่อยู่ของตนสามวัน แต่มีแสงสว่างอยู่ในที่อาศัยของชนชาติอิสราเอลทั้งหมด ฟาโรห์จึงทรงเรียกโมเสสเข้าเฝ้า ตรัสว่า “พวกเจ้าจงไปนมัสการพระยาห์เวห์เถิด แต่ให้ฝูงแกะและฝูงโคอยู่ ส่วนเด็กๆ ไปกับพวกเจ้าได้” โมเสสจึงกราบทูลว่า “ฝ่าพระบาทต้องประทานเครื่องสัตวบูชาและเครื่องบูชาเผาทั้งตัวแก่พวกข้าพระบาทด้วย เพื่อจะได้เตรียมถวายบูชาต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระบาท พวกข้าพระบาทต้องนำฝูงปศุสัตว์ไปด้วย ขาดไม่ได้สักตัวเดียว เพราะว่าจะต้องเอาสัตว์จากฝูงเหล่านั้นไปถวายพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระบาท นอกจากนี้พวกข้าพระบาทยังไม่ทราบว่าจะต้องเอาสัตว์ตัวไหนถวายพระยาห์เวห์จนกว่าจะถึงที่นั่น” แต่พระยาห์เวห์ทรงทำให้พระทัยฟาโรห์กระด้าง ฟาโรห์จึงไม่ทรงยอมปล่อยพวกเขาไป ฟาโรห์มีรับสั่งแก่โมเสสว่า “ไปให้พ้น ระวังตัวให้ดีเถอะ อย่ามาให้เราเห็นหน้าอีกเลย เพราะถ้าเจ้าเห็นหน้าเราวันไหน เจ้าจะตายวันนั้น” โมเสสจึงกราบทูลว่า “ฝ่าพระบาทตรัสถูกแล้ว ข้าพระบาทจะไม่มาให้ฝ่าพระบาทเห็นหน้าอีกเลย”
อพยพ 10:1-29 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)
พระเยโฮวาห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “จงเข้าไปหาฟาโรห์ เพราะเราได้ทำให้ใจของฟาโรห์ และใจของข้าราชการแข็งกระด้าง เพื่อเราจะได้แสดงหมายสำคัญเหล่านี้ของเราต่อหน้าพวกเขา เพื่อเจ้าจะได้เล่าเหตุการณ์ที่เราได้กระทำแก่ชาวอียิปต์ให้ลูกหลานฟัง รวมทั้งหมายสำคัญซึ่งเราได้กระทำท่ามกลางพวกเขา เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระเยโฮวาห์” โมเสสและอาโรนจึงเข้าไปเฝ้าฟาโรห์ทูลฟาโรห์ว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของคนฮีบรูตรัสดังนี้ว่า ‘เจ้าจะขัดขืนไม่ยอมอ่อนน้อมต่อเรานานสักเท่าใด จงปล่อยพลไพร่ของเราเพื่อเขาจะไปปรนนิบัติเรา มิฉะนั้นถ้าเจ้าไม่ยอมปล่อยพลไพร่ของเราไป ดูเถิด พรุ่งนี้เราจะให้ตั๊กแตนเข้ามาในเขตแดนของเจ้า ฝูงตั๊กแตนนั้นจะปกคลุมพื้นแผ่นดินจนแลไม่เห็นพื้นดิน และสิ่งที่เหลือจากลูกเห็บทำลาย มันจะกิน และต้นไม้ทุกต้นซึ่งงอกขึ้นให้เจ้าในทุ่งนานั้น มันจะกินเสียหมด มันจะเข้าไปในราชสำนัก ในบ้านเรือนของข้าราชการ และในบ้านเรือนของบรรดาชาวอียิปต์จนเต็มหมด อย่างที่บิดาและปู่ทวด ตั้งแต่เกิดมาจนทุกวันนี้ ไม่เคยเห็นเช่นนี้เลย’” แล้วโมเสสก็กลับออกไปจากฟาโรห์ บรรดาข้าราชการของฟาโรห์ทูลฟาโรห์ว่า “คนนี้จะเป็นบ่วงแร้วดักเราไปนานสักเท่าใด ขอทรงพระกรุณาปลดปล่อยคนเหล่านั้นให้ไปปรนนิบัติพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาเถิด พระองค์ยังไม่ทรงทราบหรือว่าอียิปต์กำลังพินาศแล้ว” โมเสสและอาโรนถูกนำตัวเข้ามาเฝ้าฟาโรห์อีก พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ไปปรนนิบัติพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า แต่ใครจะไปบ้าง” โมเสสทูลว่า “ข้าพระองค์จะต้องพากันไปทั้งคนหนุ่มและคนแก่ บุตรชายและบุตรสาวและฝูงแพะแกะ และฝูงวัว เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายต้องมีเทศกาลเลี้ยงถวายพระเยโฮวาห์” ฟาโรห์ตรัสกับเขาทั้งสองว่า “ถ้าเรายอมให้เจ้าไปกับบุตรด้วย ก็ให้พระเยโฮวาห์ทรงสถิตอยู่กับพวกเจ้าเถิด ระวังตัวให้ดีเถิด เจ้ากำลังมุ่งไปในทางทุจริตเสียแล้ว อนุญาตไม่ได้ จงพาเฉพาะแต่ผู้ชายไปปรนนิบัติพระเยโฮวาห์ เพราะเจ้าปรารถนาเช่นนี้เท่านั้น” แล้วโมเสสกับอาโรนก็ถูกขับไล่ออกไปเสียจากพระพักตร์ของฟาโรห์ พระเยโฮวาห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “จงเหยียดมือออกเหนือประเทศอียิปต์ให้ฝูงตั๊กแตนมาเหนือแผ่นดินอียิปต์ ให้กินผักทั่วไปของแผ่นดินซึ่งเหลือจากลูกเห็บทำลาย” โมเสสจึงยื่นไม้เท้าออกเหนือแผ่นดินอียิปต์ พระเยโฮวาห์ก็ทรงบันดาลให้ลมตะวันออกพัดมาเหนือพื้นแผ่นดินทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดวันนั้น ครั้นเวลารุ่งเช้า ลมตะวันออกก็พัดหอบฝูงตั๊กแตนมา ฝูงตั๊กแตนลงทั่วแผ่นดินอียิปต์ และจับอยู่ทั่วเขตแดนอียิปต์ทั้งหมด มันรุนแรงมาก แต่ก่อนไม่เคยมีตั๊กแตนอย่างนี้เลย และต่อไปข้างหน้าจะหามีอย่างนั้นอีกไม่ เพราะมันปกคลุมพื้นแผ่นดินจนแลมืดไป มันกินผักในแผ่นดินทุกอย่าง และผลไม้ทุกอย่างซึ่งเหลือจากลูกเห็บทำลาย ไม่มีพืชใบเขียวเหลือเลย ไม่ว่าต้นไม้หรือผักในทุ่ง ทั่วแผ่นดินอียิปต์ ฟาโรห์จึงรีบให้คนไปตามโมเสสและอาโรนเข้าเฝ้า แล้วฟาโรห์ตรัสว่า “เราได้ทำบาปต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า และต่อเจ้าทั้งสองด้วย เหตุฉะนั้นบัดนี้ขอเจ้ายกโทษบาปให้เราครั้งนี้สักครั้งเถิด และวิงวอนขอพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า เพื่อพระองค์จะได้ทรงโปรดให้ความตายนี้พ้นไปจากเรา” โมเสสก็ไปจากฟาโรห์ และทูลวิงวอนพระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์จึงทรงบันดาลให้ลมพายุพัดกลับมาจากทิศตะวันตกหอบฝูงตั๊กแตนไปตกในทะเลแดง จนไม่มีตั๊กแตนเหลือเลยสักตัวเดียวตลอดเขตแดนอียิปต์ แต่พระเยโฮวาห์ทรงทำให้พระทัยของฟาโรห์แข็งกระด้างเพื่อพระองค์จะไม่ยอมปล่อยชนชาติอิสราเอลไป พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงชูมือของเจ้าขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อจะให้มีความมืดทั่วแผ่นดินอียิปต์ เป็นความมืดจนจับคลำได้” โมเสสจึงชูมือขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วก็เกิดมีความมืดทึบทั่วไปในแผ่นดินอียิปต์ตลอดสามวัน เขามองกันไม่เห็น ไม่มีใครลุกไปจากที่ของเขาสามวัน แต่บรรดาชนชาติอิสราเอลนั้นมีแสงสว่างอยู่ในที่อาศัยของเขา ฟาโรห์จึงให้ตามตัวโมเสสเข้าเฝ้า ตรัสว่า “พวกเจ้าจงไปปรนนิบัติพระเยโฮวาห์เถิด เพียงแต่ให้ฝูงแกะและฝูงวัวอยู่ ส่วนเด็กไปกับเจ้าได้ด้วย” ฝ่ายโมเสสจึงทูลว่า “พระองค์ต้องให้เรามีเครื่องบูชาและเครื่องเผาบูชาไปด้วย เพื่อพวกข้าพระองค์จะได้บูชาต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ต้องนำฝูงสัตว์ไปด้วย ขาดไม่ได้สักกีบเดียว เพราะว่าจะต้องเอาสัตว์จากฝูงเหล่านั้นไปถวายพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ยังไม่ทราบว่าจะต้องการสัตว์ตัวใดถวายพระเยโฮวาห์ จนกว่าเราจะถึงที่นั่น” แต่พระเยโฮวาห์ทรงทำให้พระทัยฟาโรห์แข็งกระด้าง พระองค์จึงไม่ยอมปล่อยเขาไป ฟาโรห์รับสั่งแก่โมเสสว่า “ไปให้พ้นจากเรา ระวังตัวให้ดีเถอะ อย่ามาเห็นหน้าเราอีกเลยเพราะถ้าเจ้าเห็นหน้าเราวันใด เจ้าจะต้องตายวันนั้น” โมเสสจึงทูลว่า “พระองค์ตรัสถูกแล้ว ข้าพระองค์จะไม่มาเห็นพระพักตร์ของพระองค์อีกเลย”
อพยพ 10:1-29 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)
พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า <<จงเข้าไปหาฟาโรห์ เพราะเราทำให้ใจของ ฟาโรห์และใจของข้าราชการแข็งกระด้าง เพื่อเราจะได้แสดงหมายสำคัญเหล่านี้ของ เราท่ามกลางพวกเขา เพื่อเจ้าจะได้เล่าเหตุการณ์ ที่เราได้กระทำแก่ชาวอียิปต์ให้ลูกหลานฟังรวมทั้งหมายสำคัญ ซึ่งเราได้สำแดงแก่เขานั้น เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระเจ้า>> โมเสสและอาโรนจึงเข้าไปเฝ้าฟาโรห์ทูลว่า <<พระเจ้าของคนฮีบรูตรัสดังนี้ว่า <เจ้าจะขัดขืนไม่ยอมอ่อนน้อมต่อเรานานสักเท่าใด จงปล่อยประชากรของเราให้ไปนมัสการเรา ถ้าเจ้าไม่ยอมปล่อยประชากรของเราไป พรุ่งนี้เราจะให้ตั๊กแตนเข้ามาในเขตแดนของเจ้า ฝูงตั๊กแตนนั้นจะมาลงเต็มไปหมดจนแลไม่เห็นพื้นดิน และสิ่งที่เหลือจากลูกเห็บทำลาย มันจะกิน และต้นไม้ทุกต้นซึ่งงอกขึ้นให้เจ้าในทุ่งนานั้น มันจะกินเสียหมด มันจะเข้าไปในราชสำนัก ในบ้านเรือนของข้าราชการ และในบ้านเรือนของชาวอียิปต์จนเต็มหมด อย่างที่บิดาและปู่ทวด ตั้งแต่เกิดมาจนทุกวันนี้ ไม่เคยเห็นเช่นนี้เลย> >> แล้วโมเสสก็ออกไปจากวังฟาโรห์ บรรดาข้าราชการทูลฟาโรห์ว่า <<คนนี้จะเป็นบ่วงแร้วดักเราไปนานสักเท่าใด ขอทรงพระกรุณาปลดปล่อยคนเหล่านั้นให้ไป นมัสการพระเจ้าของเขาเถิด พระองค์ยังไม่ทราบหรือว่า อียิปต์กำลังพินาศแล้ว>> โมเสสและอาโรนถูกนำตัวเข้ามาเฝ้าฟาโรห์อีก พระองค์จึงตรัสว่า <<ไปนมัสการพระเจ้าของเจ้า แต่ใครจะไปบ้าง>> โมเสสทูลว่า <<ข้าพระบาทจะต้องพากันไปทั้งคนหนุ่มและคนแก่ ข้าพระบาทจะต้องพากันไปทั้งบุตรชายและบุตรหญิง และฝูงแพะแกะและฝูงโค เพราะข้าพระบาททั้งหลายต้องมีพิธีเลี้ยงถวายพระเจ้า>> ฟาโรห์ตรัสกับเขาทั้งสองว่า <<ถ้าเรายอมให้เจ้าไปกับบุตรด้วย ก็ให้พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับพวกเจ้าเถิด เจ้าคิดทุจริตเสียแล้ว อนุญาตไม่ได้ จงพาเฉพาะแต่ผู้ชายไปนมัสการพระเจ้า เพราะเจ้าปรารถนาเช่นนี้เท่านั้น>> แล้วโมเสสกับอาโรน ก็ถูกขับไล่ ออกไปเสียจากพระพักตร์ของฟาโรห์ พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า <<จงเหยียดมือออกเหนือประเทศอียิปต์ให้ฝูงตั๊กแตน ลงบนผืนแผ่นดินอียิปต์ ให้กินผักทั่วไปทั้งทุ่ง ซึ่งเหลือจากลูกเห็บทำลาย>> โมเสสจึงยื่นไม้เท้าออกเหนือแผ่นดินอียิปต์ พระเจ้าก็บันดาลให้ลมตะวันออกพัดมาเหนือพื้น แผ่นดินทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดวันนั้น ครั้นเวลารุ่งเช้า ลมตะวันออกก็พัดหอบฝูงตั๊กแตนมา ฝูงตั๊กแตนลงทั่วแผ่นดินอียิปต์ และจับ อยู่ทั่วเขตแดนอียิปต์ทั้งหมด แต่ก่อนไม่เคยมีตั๊กแตนฝูงใหญ่อย่างนี้เลย และต่อไปข้างหน้าจะหามีอย่างนั้นอีกไม่ มันปกคลุมพื้นแผ่นดินจนแลมืดไป มันกินผักในทุ่ง และผลไม้ทุกอย่างซึ่งเหลือจากลูกเห็บ ทำลาย ไม่มีพืชใบเขียวเหลือเลย ไม่ว่าต้นไม้หรือผักในทุ่ง ทั่วแผ่นดินอียิปต์ ฟาโรห์รีบให้คนไปตามตัว โมเสสและอาโรนเข้าเฝ้าแล้วตรัสว่า <<เราได้ทำบาปต่อพระเจ้าของเจ้า และต่อเจ้าทั้งสองด้วย ขอเจ้ายกโทษบาปให้เราครั้งนี้สักครั้งเถิด จงวิงวอนขอพระเจ้าของเจ้า เพื่อพระองค์จะได้ทรงโปรดให้ความตายนี้พ้นไปจากเรา>> โมเสสก็ไปจากฟาโรห์ และทูลวิงวอนพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงบันดาลให้ลมพายุพัดกลับ มาจากทิศตะวันตกหอบฝูงตั๊กแตนไปตกในทะเลแดง จนไม่เหลือเลยสักตัวเดียว ตลอดเขตแดนอียิปต์ แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้พระทัยของฟาโรห์แข็งกระด้าง ท่านจึงไม่ยอมปล่อยคนอิสราเอลไป พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า <<จงชูมือของเจ้าขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อจะให้มีความมืดทั่วแผ่นดินอียิปต์ เป็นความมืดจนจับคลำได้>> โมเสสจึงชูมือขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วก็เกิดมีความมืดทึบทั่วไป ในแผ่นดินอียิปต์ตลอดสามวัน เขามองกันไม่เห็น ไม่มีใครลุกไปจากที่ของเขาสามวัน ฝ่ายบรรดาชนชาติอิสราเอลนั้น มีแสงสว่างอยู่ในที่อาศัยของเขา ฟาโรห์จึงให้ตามตัวโมเสสเข้าเฝ้า ตรัสว่า <<พวกเจ้าจงไปนมัสการพระเจ้าเถิด แต่ให้ฝูงแกะและฝูงโคอยู่ส่วนผู้หญิงกับเด็กไปกับเจ้าได้>> ฝ่ายโมเสสจึงทูลว่า <<ต้องโปรดประทานให้มีเครื่องสัตวบูชาและเครื่องเผาบูชา ติดมือไปด้วย เพื่อพวกข้าพระบาทจะได้บูชาต่อพระเจ้าของข้าพระบาท ข้าพระบาทต้องนำฝูงสัตว์ไปด้วย ขาดไม่ได้สักกีบเดียว เพราะว่าจะต้องเอาสัตว์จากฝูงเหล่านั้นไปถวายพระเจ้าของข้าพระบาท ข้าพระบาทยังไม่ทราบว่าจะต้องการสัตว์ตัวใดถวายพระองค์ จนกว่าจะถึงที่นั่น>> แต่พระเจ้าทรงกระทำให้พระทัยฟาโรห์แข็งกระด้าง ท่านจึงไม่ยอมปล่อยเขาไป ฟาโรห์รับสั่งแก่โมเสสว่า <<ไปให้พ้น ระวังตัวให้ดีเถอะ อย่ามาเห็นหน้าเราอีกเลย เพราะถ้าเจ้าเห็นหน้าเราวันใด เจ้าจะต้องตายวันนั้น>> โมเสสจึงทูลว่า <<ฝ่าพระบาทตรัสถูกแล้ว ข้าพระบาทจะไม่มาเห็นพระพักตร์ของฝ่าพระบาทอีกเลย>>
อพยพ 10:1-29 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงกลับไปพบฟาโรห์อีก เพราะเราทำให้เขากับข้าราชการใจแข็งกระด้าง เพื่อเราจะแสดงหมายสำคัญของเราท่ามกลางพวกเขา เพื่อเจ้าจะได้เล่าให้ลูกหลานฟังถึงการที่เราจัดการกับชาวอียิปต์อย่างหนักหน่วง และเราได้แสดงหมายสำคัญของเราท่ามกลางพวกเขาแล้ว พวกเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์” ดังนั้นโมเสสกับอาโรนจึงไปเข้าเฝ้าฟาโรห์และทูลว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของชนฮีบรูตรัสว่า ‘เจ้าจะไม่ยอมถ่อมตัวลงต่อหน้าเราอีกนานเท่าใด? จงปล่อยประชากรของเราไปเพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเรา หากเจ้าไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป เราจะนำตั๊กแตนมาสู่ประเทศของเจ้าในวันพรุ่งนี้ ตั๊กแตนจะแห่มามืดฟ้ามัวดินและกัดกินพืชพันธุ์ทุกอย่างที่เหลือรอดจากลูกเห็บ รวมทั้งต้นไม้ทุกต้นในเรือกสวนไร่นาของเจ้า ตั๊กแตนจะเข้ามาเต็มพระราชวัง เต็มบ้านของข้าราชการทุกคนและทุกบ้านในอียิปต์ นี่คือสิ่งที่บรรพบุรุษของเจ้าไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่พวกเขาตั้งรกรากในแผ่นดินนี้’ ” แล้วโมเสสก็ไปจากฟาโรห์ บรรดาข้าราชการทูลฟาโรห์ว่า “ชายคนนี้จะเป็นบ่วงดักเราไปนานเท่าใด? ขอทรงปล่อยชนชาตินี้ไปนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาเถิด ฝ่าพระบาทยังไม่ทรงตระหนักหรือว่าอียิปต์พินาศแล้ว?” โมเสสและอาโรนจึงถูกนำตัวมาเข้าเฝ้าฟาโรห์อีก ฟาโรห์ตรัสว่า “ไปนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าเถิด แต่จะมีใครไปบ้าง?” โมเสสทูลตอบว่า “พวกข้าพระบาทจะไปกันทั้งหมด ทั้งคนหนุ่มคนแก่ บุตรชายบุตรสาว และฝูงสัตว์ เพราะพวกเราจะไปเลี้ยงฉลองถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า” ฟาโรห์ตรัสว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่กับเจ้าเถิด หากเราปล่อยเจ้าไปพร้อมกับผู้หญิงและเด็กๆ! เห็นได้ชัดว่าเจ้ามีแผนการร้าย ไม่ได้! ให้เฉพาะพวกผู้ชายไปนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะนั่นเป็นสิ่งที่เจ้าขอไว้” แล้วโมเสสกับอาโรนก็ถูกไล่ออกไปให้พ้นพระพักตร์ฟาโรห์ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงชูมือขึ้นเหนืออียิปต์เพื่อฝูงตั๊กแตนจะได้มาปกคลุมทั่วดินแดนและกัดกินพืชพันธุ์ทุกอย่างในท้องทุ่งที่เหลือจากการทำลายล้างของลูกเห็บ” โมเสสจึงชูไม้เท้าขึ้นเหนืออียิปต์ และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้ลมตะวันออกพัดผ่านทั่วแผ่นดินตลอดวันตลอดคืน รุ่งเช้าลมก็หอบเอาตั๊กแตนมา ฝูงตั๊กแตนปกคลุมทั่วดินแดนอียิปต์จำนวนมากมายมหาศาลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และจะไม่มีเหมือนครั้งนั้นอีกเลย ฝูงตั๊กแตนปกคลุมแผ่นดินจนดูมืดทึบ มันกัดกินทุกสิ่งที่เหลือจากพายุลูกเห็บ คือพืชพันธุ์ทั้งสิ้นในท้องทุ่งและผลไม้ต่างๆ ไม่มีพืชสีเขียวหลงเหลืออยู่ ไม่ว่าต้นไม้หรือใบหญ้าทั่วดินแดนอียิปต์ ฟาโรห์จึงมีรับสั่งด่วนเรียกโมเสสกับอาโรนมาเข้าเฝ้าและตรัสว่า “เราได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าและต่อเจ้า บัดนี้ขอยกโทษบาปให้เราอีกสักครั้งและช่วยทูลวิงวอนพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าให้ขจัดมรณภัยนี้ไปจากเราเถิด” โมเสสจึงทูลลาฟาโรห์ไป แล้วอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปลี่ยนทิศทางลมให้เป็นลมตะวันตกที่พัดแรงมาก หอบเอาฝูงตั๊กแตนไปทิ้งในทะเลแดงจนไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียวในอียิปต์ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้ฟาโรห์มีพระทัยแข็งกระด้างและไม่ยอมปล่อยชนอิสราเอลไป องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงชูมือขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อให้ความมืดมิดจนรู้สึกได้มาครอบคลุมทั่วอียิปต์” ดังนั้นโมเสสก็เหยียดมือขึ้นสู่ท้องฟ้า จึงมีแต่ความมืดสนิทปกคลุมทั่วอียิปต์ตลอดสามวัน ช่วงสามวันนี้ไม่มีใครมองเห็นกันหรือขยับลุกจากที่ แต่คนอิสราเอลมีแสงสว่างในที่พักของเขา แล้วฟาโรห์จึงรับสั่งเรียกโมเสสมาเข้าเฝ้าและตรัสว่า “จงไปนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าเอาพวกผู้หญิงและเด็กไปด้วยก็ได้ แต่ฝูงสัตว์ทั้งหลายจงละไว้ที่นี่” แต่โมเสสทูลว่า “ฝ่าพระบาทจะต้องอนุญาตให้พวกข้าพระบาทเอาฝูงสัตว์ไปเป็นของถวายและเครื่องเผาบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระบาททั้งหลายด้วย ฝูงสัตว์ของข้าพระบาททั้งหลายจะต้องไปด้วย จะไม่มีสัตว์เหลืออยู่แม้แต่ตัวเดียว เพราะข้าพระบาททั้งหลายจำเป็นต้องใช้สัตว์เหล่านั้นเป็นเครื่องบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเหล่าข้าพระบาท และยังไม่ทราบว่าจะใช้สัตว์ชนิดใดถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าจนกว่าพวกข้าพระบาทจะไปถึงที่นั่น” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้ฟาโรห์มีพระทัยแข็งกระด้าง ไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป ฟาโรห์ตรัสกับโมเสสว่า “ไปให้พ้น! อย่ามาให้เราเห็นหน้าอีก! วันที่เจ้าเห็นหน้าเรา เจ้าจะต้องตายแน่” โมเสสทูลว่า “แน่นอน ข้าพระบาทจะไม่มาเข้าเฝ้าฝ่าพระบาทอีกเลย”
อพยพ 10:1-29 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)
พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “เจ้าจงไปหาฟาโรห์ เพราะเราได้ทำจิตใจของเขาและของข้าราชบริพารของเขาให้แข็งกระด้างแล้ว เพื่อเราจะได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์เหล่านี้ของเราแก่พวกเขา และเจ้าจะได้เล่าให้ลูกหลานของเจ้าฟังได้ว่า เราพอใจเพียงไรที่ทำให้ชาวอียิปต์ดูเป็นคนโง่เขลา และให้พวกเขารู้ว่าเราได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์อะไรบ้าง พวกเจ้าทั้งหลายจะได้รู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้า” ดังนั้น โมเสสและอาโรนจึงไปหาฟาโรห์และพูดกับท่านว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของชาวฮีบรูกล่าวว่า ‘เจ้าจะปฏิเสธไม่ยอมนอบน้อมต่อเราอีกนานแค่ไหน จงปล่อยให้ชนชาติของเราไป พวกเขาจะได้นมัสการเรา เพราะถ้าหากว่าเจ้าไม่ยอมให้ชนชาติของเราไป ดูเถิด พรุ่งนี้เราจะให้ฝูงตั๊กแตนบินเข้ามาในประเทศของเจ้า และมันจะมาลงเต็มทั่วแผ่นดิน จนไม่มีใครสามารถมองเห็นพื้นดินได้เลย พวกตั๊กแตนก็จะกินทุกสิ่งที่ลูกเห็บไม่ได้ทำลายจนเกลี้ยง พวกมันจะกินต้นไม้ของเจ้าทุกต้นในทุ่งนา พวกมันจะเกาะอยู่เต็มบ้านของเจ้า ของข้าราชบริพารของเจ้า และของชาวอียิปต์ทุกคน อย่างที่บิดาและบรรพบุรุษของเจ้าไม่เคยเห็นมาก่อน นับตั้งแต่พวกเขาเกิดมาจนถึงวันนี้’” ครั้นแล้วท่านก็หันกลับออกไปจากฟาโรห์ ข้าราชบริพารของฟาโรห์จึงถามท่านว่า “ชายผู้นี้จะนำความลำบากมาให้พวกเราอีกนานแค่ไหน ปล่อยพวกเขาไปเถิด เพื่อจะได้ไปนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา ท่านไม่ตระหนักเลยหรือว่าอียิปต์พังพินาศแล้ว” ดังนั้น โมเสสและอาโรนจึงถูกพาตัวกลับเข้ามาหาฟาโรห์อีก และท่านกล่าวกับโมเสสและอาโรนว่า “จงไปนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า แต่ใครบ้างที่จะไป” โมเสสตอบว่า “พวกเราจะไปกับคนหนุ่มและคนแก่ เราจะไปกับบุตรชายบุตรหญิงของเรา ฝูงแพะแกะ และโคของเรา เพราะเราต้องมีพิธีเลี้ยงฉลองเพื่อพระผู้เป็นเจ้า” ฟาโรห์กล่าวกับท่านทั้งสองว่า “ถ้าเรายอมให้เจ้าและพวกเด็กเล็กของเจ้าไป ก็ขอให้พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเจ้าเถิด ดูสิ พวกเจ้าคิดประสงค์ร้าย เอาอย่างนี้ ผู้ชายเท่านั้นที่จะไปนมัสการพระผู้เป็นเจ้า เพราะนั่นเป็นความต้องการของพวกเจ้า” แล้วท่านทั้งสองก็ถูกขับไล่ออกไปให้พ้นหน้าฟาโรห์ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงยื่นมือของเจ้าออกเหนือแผ่นดินอียิปต์ ให้ฝูงตั๊กแตนมาลงที่แผ่นดินอียิปต์ ให้มันกินพืชทุกต้นที่ลูกเห็บไม่ได้ทำลาย” โมเสสจึงยื่นไม้เท้าของตนออกไปเหนือแผ่นดินอียิปต์ แล้วพระผู้เป็นเจ้าให้ลมตะวันออกพัดมาบนแผ่นดินในวันนั้นตลอดทั้งวันและคืน พอรุ่งเช้าลมตะวันออกก็พัดพาเอาตั๊กแตนมา ฝูงตั๊กแตนบินมาลงทั่วดินแดนอียิปต์ มันปักหลักกันอยู่ทุกแห่งหนทุกซอกทุกมุมของอียิปต์ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และจะไม่มีวันเป็นเช่นนี้อีกในอนาคต มันกระจายไปเกาะทั่วผิวแผ่นดินจนมืด มันกัดกินพืชที่ขึ้นอยู่ในแผ่นดิน ผลไม้บนต้นที่ลูกเห็บไม่ได้ทำลาย ไม่มีพืชไม้ใบเขียวชนิดใดหลงเหลืออยู่เลย ไม่มีต้นไม้หรือพืชใดๆ ในแผ่นดินอียิปต์ ฟาโรห์จึงรีบเรียกโมเสสและอาโรนมาหาและกล่าวว่า “เราได้กระทำผิดบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า และต่อพวกเจ้าด้วย ฉะนั้นเราขอให้เจ้าอภัยบาปเราครั้งนี้อีกครั้งเดียว จงอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าให้เราหลุดพ้นจากความตายครั้งนี้เถิด” โมเสสจึงจากฟาโรห์ไป และไปอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าจึงให้ลมตะวันตกพัดแรงจนหอบเอาฝูงตั๊กแตนออกไปลงในทะเลแดง ไม่มีตั๊กแตนเหลืออยู่บนแผ่นดินอียิปต์แม้แต่สักตัวเดียว แต่พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ทำจิตใจของฟาโรห์ให้แข็งกระด้าง ท่านจึงไม่ยอมปล่อยให้ชาวอิสราเอลไป พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงยื่นมือของเจ้าขึ้นสู่ฟ้า จะได้เกิดความมืดที่สัมผัสได้ทั่วแผ่นดินอียิปต์” โมเสสจึงยื่นมือขึ้นสู่ฟ้า เกิดความมืดครอบคลุมทั่วแผ่นดินอียิปต์เป็นเวลา 3 วัน ผู้คนไม่สามารถมองเห็นใครได้ และไม่ได้ไปมาหาสู่กันนานถึง 3 วัน ส่วนชาวอิสราเอลมีแสงสว่างในที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ ฟาโรห์จึงเรียกโมเสสมาพบและกล่าวว่า “ไปเถิด ไปนมัสการพระผู้เป็นเจ้า ลูกหลานของเจ้าจะไปกับเจ้าด้วยก็ได้ แต่ทิ้งฝูงแพะแกะ และโคของเจ้าไว้ที่นี่แหละ” แต่โมเสสตอบว่า “ท่านต้องให้พวกเรามีเครื่องสักการะและสัตว์ที่เผาเป็นของถวายด้วย เพื่อสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา ฝูงปศุสัตว์ของเราต้องไปกับเราด้วย จะทิ้งไว้ที่นี่แม้แต่กีบหนึ่งก็ไม่ได้ เพราะเราต้องเลือกสัตว์จากฝูงที่เป็นของเราเพื่อนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา และเราไม่ทราบว่าจะต้องนมัสการพระผู้เป็นเจ้าด้วยอะไรจนกว่าเราจะถึงที่นั่นก่อน” แต่พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ทำจิตใจของฟาโรห์ให้แข็งกระด้าง และท่านจะไม่ยอมให้พวกเขาไป ฟาโรห์จึงพูดกับโมเสสว่า “ไปให้พ้นหน้าเรา เจ้าระวังตัวให้ดี อย่ามาให้เราเห็นหน้าอีก เพราะในวันที่เจ้ามาให้เห็นหน้าอีก เจ้าจะต้องตาย” โมเสสตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไม่โผล่หน้ามาให้ท่านเห็นอีกตามที่ท่านต้องการ”