2 พงศาวดาร 18:1-34

2 พงศาวดาร 18:1-34 พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย (THA-ERV)

ใน​เวลานั้น เยโฮชาฟัท​มี​ทรัพย์​สมบัติ​มากมาย​และ​มี​ชื่อ​เสียงมาก และ​เขา​เป็น​พันธมิตร​กับ​กษัตริย์​อาหับ​ด้วย​การ​แต่งงาน​กับ​ราชวงศ์นั้น อีก​หลาย​ปี​ต่อมา เขา​ลง​ไป​เยี่ยมเยียน​กษัตริย์​อาหับ​ใน​เมือง​สะมาเรีย อาหับ​ได้​ฆ่า แกะ​และ​วัว​หลาย​ตัว​เพื่อ​เลี้ยงดู​เขา​และ​คน​ที่​มา​กับเขา และ​ได้​ยุยง​เขา​ให้​โจมตี​ราโมทกิเลอาด กษัตริย์​อาหับ​แห่ง​อิสราเอล​ถาม​กษัตริย์​เยโฮชาฟัท​แห่ง​ยูดาห์​ว่า “ท่าน​จะ​ไป​สู้รบ​กับ​ราโมทกิเลอาด​ด้วย​กัน​กับ​เราไหม” เยโฮชาฟัท​ตอบ​ว่า “เรา​กับ​ท่าน​ก็​เป็น​เหมือน​คนๆ​เดียวกัน ทหาร​ของ​เรา​ก็​เป็น​เหมือน​กับ​ทหาร​ของท่าน พวกเรา​จะ​เข้า​ร่วม​สงคราม​กับ​ท่านด้วย” แต่​เยโฮชาฟัท​ยัง​พูด​กับ​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ว่า “แต่​ก่อนอื่น ให้​เรา​ไป​ขอ​คำปรึกษา​จาก​พระยาห์เวห์ก่อน” ดังนั้น กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​จึง​พา​พวก​ผู้พูดแทนพระเจ้า​มา​สี่ร้อย​คน​และ​ถาม​พวกเขา​ว่า “พวกเรา​ควร​จะ​ไป​ทำ​สงคราม​กับ​ราโมท-กิเลอาด​หรือไม่ หรือ​ว่า​ให้​รอ​ไว้ก่อน” พวกเขา​ตอบ​ว่า “ไปเถิด เพราะ​พระเจ้า​จะ​มอบ​มัน​ให้​อยู่​ใน​กำมือ​ของท่าน” แต่​เยโฮชาฟัท​ถาม​ว่า “ยัง​มี​คน​อื่น​ที่​เป็น​ผู้พูดแทน​พระยาห์เวห์​อยู่​ที่​นี่​หรือเปล่า ที่​เรา​จะ​สอบถาม​เขาได้” กษัตริย์​อาหับ​แห่ง​อิสราเอล​ตอบ​เยโฮชาฟัท​ไป​ว่า “ยัง​มี​อยู่​อีก​คนหนึ่ง ชื่อ มีคายาห์ เขา​เป็น​ลูกชาย​ของ​อิมลาห์ เรา​จะ​ถาม​พระยาห์เวห์​ผ่าน​ทาง​เขาได้ แต่​เรา​เกลียดเขา เพราะ​เมื่อ​เขา​พูดแทนพระเจ้า เขา​ไม่​เคย​พูด​อะไร​ดีๆ​เกี่ยวกับ​เราเลย มี​แต่​เรื่อง​ร้าย​ๆ” เยโฮชาฟัท​ตอบ​ว่า “กษัตริย์​ไม่​ควร​พูด​อย่างนั้น” ดังนั้น กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​จึง​เรียก​เจ้าหน้าที่​คนหนึ่ง​ของ​เขา​มา​และ​สั่ง​ว่า “เร็วเข้า ไป​นำ​ตัว มีคายาห์​ลูกชาย​ของ​อิมลาห์มา” กษัตริย์​ของ​อิสราเอล​และ​กษัตริย์​เยโฮชาฟัท​ของ​ยูดาห์​ใส่​ชุด​กษัตริย์​เต็มยศ นั่ง​อยู่​บน​บัลลังก์​ของ​พวกเขา​ที่​ลานนวดข้าว​ตรง​ทาง​เข้า​ประตู​เมือง​สะมาเรีย โดย​มี​เหล่า​ผู้พูดแทนพระเจ้า​อยู่​ต่อหน้า​พวกเขา ที่​กำลัง​อ้าง​ว่า​พูด​แทน​พระเจ้า​อยู่ ตอนนั้น เศเดคียาห์​ลูกชาย​ของ​เคนาอะนาห์​ได้​ทำ​เขา​สัตว์​เหล็ก​ขึ้น​และ​มา​ประกาศ​ว่า “นี่​คือ​สิ่ง​ที่​พระยาห์เวห์​พูด ‘พวกท่าน​จะ​ได้​ใช้​ของ​เหล่านี้​ทิ่มแทง​พวก​อารัม​จนกระทั่ง​พวกนั้น​ถูก​ทำลาย​ไป’” พวก​ผู้พูดแทนพระเจ้า​ที่​เหลือ​ทั้งหมด​ต่าง​ทำนาย​เหมือน​กัน​หมด พวกเขา​พูด​ว่า “บุก​ไป​โจมตี​ราโมท-กิเลอาดเลย แล้ว​ท่าน​จะ​ได้รับ​ชัยชนะ เพราะ​พระยาห์เวห์​จะ​ให้​มัน​ตก​อยู่​ใน​กำมือ​ของ​กษัตริย์” ผู้​ส่งข่าว​ที่​ไป​เรียก​มีคายาห์ พูด​กับ​เขา​ว่า “ดูเถิด พวก​ผู้พูดแทนพระเจ้า​ต่าง​ทำนาย​ถึง​ความ​สำเร็จ​ของ​กษัตริย์​เหมือน​กันหมด ขอให้​ท่าน​พูด​เหมือน​กับ​พวกเขา​และ​ให้​พูด​แต่​สิ่ง​ที่​ดี​ด้วยเถิด” แต่​มีคายาห์​กลับ​พูด​ว่า “พระยาห์เวห์​มี​ชีวิต​อยู่​แน่​ขนาด​ไหน ก็​ให้​แน่ใจ​ขนาดนั้น​เลย​ว่า พระเจ้า​ของ​ผม​พูดอะไร ผม​ก็​จะ​พูด​อย่างนั้น” เมื่อ​เขา​มา​ถึง กษัตริย์​อาหับ​ถาม​เขา​ว่า “มีคายาห์ พวกเรา​ควร​จะ​ออก​ไป​สู้รบ​กับ​ราโมท-กิเลอาด หรือ​จะ​หยุด​อยู่​ก่อนดี” เขา​ตอบ​กษัตริย์​ไป​ว่า “บุก​ไป​เถิด​และ​ท่าน​จะ​ได้รับ​ชัยชนะ เพราะ​พวกนั้น​จะ​ตก​อยู่​ใน​กำมือ​ของท่าน” กษัตริย์​อาหับ​พูด​กับ​เขา​ว่า “เรา​ให้​เจ้า​สาบาน​ไม่​รู้​กี่ครั้ง​แล้ว ว่า​ให้​เจ้า​พูด​แต่​ความจริง​กับ​เรา ใน​นาม​ของ​พระยาห์เวห์” แล้ว​มีคายาห์​ก็​ตอบ​ไป​ว่า “เรา​ได้​เห็น​ชนชาติ​อิสราเอล​ทั้งหมด​ต้อง​กระจัด​กระจาย​ไป​ตาม​แถบ​เนินเขา เหมือน​กับ​แกะ​ที่​ไม่​มี​คนเลี้ยง และ​พระยาห์เวห์​ได้​พูด​ว่า ‘คน​เหล่านี้​ไม่​มี​เจ้านาย ให้​พวกเขา​ทุกคน​กลับ​บ้าน​ไป​อย่าง​สันติเถิด’” กษัตริย์​อาหับ​แห่ง​อิสราเอล​จึง​พูด​กับ​เยโฮชาฟัท​ว่า “เห็นไหม เรา​บอก​ท่าน​แล้ว ว่า​เขา​ไม่​เคย​พูด​สิ่ง​ดีๆ​เกี่ยวกับ​เราเลย มี​แต่​เรื่อง​ร้ายๆ” มีคายาห์​พูด​อีก​ว่า “ฟัง​คำพูด​ของ​พระยาห์เวห์​ให้ดี เรา​เห็น​พระยาห์เวห์​นั่ง​อยู่​บน​บัลลังก์​ของ​พระองค์ พร้อม​กับ​กองทัพ​สวรรค์​ทั้งหมด​ยืน​อยู่​ทั้ง​ด้านซ้าย​และ​ด้านขวา​ของ​พระองค์ และ​พระยาห์เวห์​พูด​ว่า ‘ใคร​จะ​เป็น​ผู้​ล่อลวง​กษัตริย์​อาหับ​แห่ง​อิสราเอล​ให้​ไป​บุก​ราโมท-กิเลอาด​และ​ไป​ตาย​อยู่​ที่นั่น’ ทูตสวรรค์​ผู้หนึ่ง​แนะนำ​วิธีหนึ่ง และ​อีก​ผู้​หนึ่ง​ก็​แนะ​นำ​อีก​วิธีหนึ่ง ใน​ที่สุด วิญญาณ​ท่าน​หนึ่ง​ก็​ก้าว​ออก​มา​ยืน​อยู่​ต่อ​หน้า​พระยาห์เวห์​และ​พูด​ว่า ‘ข้าพเจ้า​จะ​ไป​ล่อลวง​เขาเอง’ พระยาห์เวห์​จึง​ถาม​เขา​ว่า ‘เจ้า​จะ​ใช้​วิธี​อะไรหรือ’ วิญญาณ​ท่านนั้น​ตอบ​ไป​ว่า ‘ข้าพเจ้า​จะ​ไป​เป็น​วิญญาณ​ที่​โกหก​อยู่​ที่​ปาก​ของ​พวก​ผู้พูดแทนพระเจ้า​ของ​เขา​ทุกคน’ พระยาห์เวห์​จึง​พูด​ว่า ‘เจ้า​จะ​ล่อลวง​เขา​ได้​สำเร็จ​แน่ ไป​ลง​มือเถิด’ ดังนั้น ใน​เวลานี้ พระยาห์เวห์​ได้​วาง​วิญญาณ​โกหก​ไว้​ที่​ปาก​ของ​พวก​ผู้พูดแทนพระเจ้า​เหล่านั้น​ของ​ท่าน พระยาห์เวห์​ได้​ออก​คำสั่ง​ให้​ความ​หายนะ​มา​สู่​ท่านแล้ว” แล้ว​เศเดคียาห์​ลูกชาย​ของ​เคนาอะนาห์​ก็​ขึ้น​ไป​ตบหน้า​ของ​มีคายาห์ เขา​ถาม​ว่า “ถ้า​อย่างนั้น พระวิญญาณ​ของ​พระยาห์เวห์​ไป​ทางไหน เมื่อ​พระองค์​ออก​จาก​เรา​เพื่อ​ที่​จะ​ไป​พูด​กับเจ้า” มีคายาห์​ตอบ​ว่า “ท่าน​จะ​รู้​เอง​ใน​วัน​ที่​ท่าน​ไป​หลบ​ซ่อนตัว​อยู่​ใน​ห้อง​ด้าน​ในสุด” กษัตริย์​อาหับ​ของ​อิสราเอล​สั่ง​ไป​ว่า “จับ​ตัว​มีคายาห์​ส่ง​กลับ​ไป​ให้​กับ​อาโมน​เจ้าเมือง​และ​โยอาช​ลูกชาย​ของเรา และ​บอก​กับ​พวกเขา​ว่า ‘กษัตริย์​สั่ง​ว่า ให้​เอา​ตัว​เจ้า​หมอนี่​ไป​ขัง​ไว้​ใน​คุก อย่า​ให้​อะไร​กับมัน นอกจาก​ขนมปัง​และ​น้ำ จน​กว่า​เรา​จะ​กลับ​มา​อย่าง​ปลอดภัย’” มีคายาห์​ประกาศ​ไป​ว่า “ประชาชน​ทั้งหลาย ฟัง​ให้ดี ถ้า​อาหับ​กลับ​มา​อย่าง​ปลอดภัย ก็​แสดง​ว่า​พระยาห์เวห์​ไม่​ได้​พูด​ผ่านเรา” กษัตริย์​อาหับ​ของ​อิสราเอล​และ​กษัตริย์​เยโฮชาฟัท​ของ​ยูดาห์​จึง​ยก​ขึ้น​ไป​สู้รบ​กับ​ชาว​อารัม​ที่​เมือง​ราโมท-กิเลอาด กษัตริย์​อาหับ​ของ​อิสราเอล​พูด​กับ​กษัตริย์​เยโฮชาฟัท​ว่า “เรา​จะ​ปลอม​ตัว​เข้า​ไปรบ แต่​ท่าน​สวม​เสื้อ​กษัตริย์​ของ​ท่าน” กษัตริย์​อาหับ​ของ​อิสราเอล​จึง​ได้​ปลอมตัว​เป็น​ทหาร​ธรรมดา​และ​พวกเขา​เข้า​ไป​สู้รบ ใน​ขณะนั้น กษัตริย์​ของ​ชาว​อารัม​สั่ง​พวก​ผู้​บัญชาการ​กองทัพ​รถรบ​ของ​เขา​ว่า “อย่า​ได้​ไล่​ตาม​ใครไป ไม่ว่า​จะ​เล็ก​หรือ​ใหญ่ ยกเว้น​กษัตริย์​ของ​อิสราเอล​เท่านั้น” เมื่อ​พวก​ผู้​บัญชาการ​กองทัพ​รถรบ​เห็น​เยโฮชาฟัท พวกเขา​พูด​ว่า “เขา​ต้อง​เป็น​กษัตริย์​ของ​อิสราเอล​แน่ๆ” พวกเขา​จึง​ได้​หัน​ไป​สู้​กับ​เยโฮชาฟัท แต่​เมื่อ​เยโฮชาฟัท​ร้อง​ออกมา และ​พระยาห์เวห์​ได้​ช่วยเขา พระองค์​ดึง​พวกนั้น​ไป​จากเขา เพราะ​เมื่อ​พวก​ผู้​บัญชาการ​กองทัพ​รถรบ​รู้​ว่า​เขา​ไม่​ใช่​กษัตริย์​ของ​อิสราเอล จึง​หยุด​ไล่ตาม​เขาไป แต่​มี​คนหนึ่ง​โก่ง​คัน​ธนู​ของ​เขา​ยิง​ออก​ไป​แบบ​สุ่มๆ​ไป​ถูก​กษัตริย์​ของ​อิสราเอล​เข้า​ตรง​ช่องว่าง​ของ​เสื้อ​เกราะ กษัตริย์​บอก​กับ​คน​ขับ​รถรบ​ของ​เขา​ว่า “กลับ​รถ​ไป​และ​พา​เรา​ออก​จาก​สนาม​รบ เรา​ได้รับ​บาดเจ็บ” การ​รบ​ครั้งนี้​ยาวนาน​ตลอด​ทั้งวัน​และ​ดุเดือดมาก และ​กษัตริย์​อาหับ​ของ​อิสราเอล​ยัน​ตัว​เอง​ไว้​กับ​รถรบ​ของเขา เผชิญ​หน้า​กับ​พวก​อารัม จนกระทั่ง​ถึงเย็น เมื่อ​ดวง​อาทิตย์​ตก​ดิน​เขา​ก็ตาย

2 พงศาวดาร 18:1-34 ฉบับมาตรฐาน (THSV11)

ฝ่ายเยโฮชาฟัททรงมีทรัพย์สมบัติมากมายและมีเกียรติยศอย่างยิ่ง และพระองค์ทรงทำให้เป็นทองแผ่นเดียวกันกับอาหับ เมื่อผ่านไปหลายปี พระองค์เสด็จลงไปเฝ้าอาหับในสะมาเรีย และอาหับทรงฆ่าแกะและวัวมากมายสำหรับพระองค์ และสำหรับไพร่พลที่มากับพระองค์ แล้วทรงชักชวนพระองค์ให้ขึ้นไปต่อสู้กับราโมทกิเลอาด อาหับพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์ว่า “ท่านจะไปราโมทกิเลอาดกับข้าพเจ้าหรือ?” เยโฮชาฟัทตรัสตอบพระองค์ว่า “ข้าพเจ้ากับท่านเป็นเหมือนคนเดียวกัน ประชาชนของข้าพเจ้าก็เป็นประชาชนของท่าน เราจะไปกับท่านในการสงคราม” และเยโฮชาฟัทตรัสกับพระราชาแห่งอิสราเอลว่า “ขอทูลถามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ก่อน” แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลก็เรียกประชุมพวกผู้เผยพระวจนะ 400 คน ตรัสกับพวกเขาว่า “ควรที่พวกเราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือไม่? หรือเราควรล้มเลิก?” และเขาทั้งหลายทูลตอบว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไปเถิด เพราะพระเจ้าจะทรงมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา” แต่เยโฮชาฟัทตรัสว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์อีกแล้วหรือที่เราจะถามได้?” และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ยังมีชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งเราจะให้ทูลถามพระยาห์เวห์ได้ คือมีคายาห์บุตรอิมลาห์ แต่ข้าพเจ้าเองเกลียดเขา เพราะเขาพยากรณ์แต่เรื่องร้ายเสมอ ไม่เคยพยากรณ์เรื่องดีเกี่ยวกับเราเลย” แต่เยโฮชาฟัทตรัสว่า “ขอพระราชาอย่าตรัสอย่างนั้นเลย” แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลจึงเรียกมหาดเล็กคนหนึ่งและตรัสสั่งว่า “จงไปพามีคายาห์บุตรอิมลาห์มาเร็วๆ” พระราชาแห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์ ต่างประทับบนพระที่นั่ง ทรงฉลองพระองค์เยี่ยงกษัตริย์ ณ ลานนวดข้าวตรงทางเข้าประตูเมืองสะมาเรีย และผู้เผยพระวจนะทั้งหมดก็พยากรณ์เฉพาะพระพักตร์ทั้งสองพระองค์ และเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์ จึงทำเขาสัตว์ด้วยเหล็ก แล้วพูดว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘ด้วยสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะผลักคนซีเรียไปจนพวกเขาย่อยยับ’ ” และผู้เผยพระวจนะทั้งหมดก็พยากรณ์อย่างนั้น ทูลว่า “ขอเสด็จไปราโมทกิเลอาดเถิด และจะมีชัยชนะ เพราะพระยาห์เวห์จะทรงมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา” และผู้สื่อสารที่ไปเรียกมีคายาห์ได้บอกท่านว่า “นี่แน่ะ ถ้อยคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะก็พูดสิ่งที่เป็นมงคลแก่พระราชาเป็นเสียงเดียวกัน ขอให้ถ้อยคำของท่านเหมือนอย่างถ้อยคำของคนหนึ่งในพวกนั้น และพูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล” แต่มีคายาห์ตอบว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่อย่างไร พระเจ้าของข้าพเจ้าตรัสว่าอย่างไรข้าพเจ้าจะพูดอย่างนั้น” และเมื่อท่านมาเฝ้าพระราชา พระราชาตรัสถามท่านว่า “มีคายาห์ควรที่พวกเราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือไม่? หรือเราควรล้มเลิก?” และท่านทูลตอบพระองค์ว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไป และมีชัยชนะ พวกเขาจะถูกมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” แต่พระราชาตรัสกับท่านว่า “เราได้ให้เจ้าปฏิญาณกี่ครั้งแล้วว่า เจ้าจะพูดกับเราแต่ความจริงในพระนามของพระยาห์เวห์” และท่านทูลว่า “ข้าพระบาทได้เห็นคนอิสราเอลทั้งหมดกระจัดกระจายอยู่บนภูเขา เหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง และพระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘คนเหล่านี้ไม่มีนาย ให้พวกเขาต่างกลับไปยังบ้านเรือนของตนโดยสวัสดิภาพเถิด’ ” พระราชาแห่งอิสราเอลจึงตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “เราบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่า เขาจะไม่พยากรณ์เรื่องดีเกี่ยวกับเราเลย มีแต่เรื่องร้ายต่างหาก” และมีคายาห์ทูลว่า “ฉะนั้นขอทรงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ ข้าพระบาทได้เห็นพระยาห์เวห์ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ และบริวารทั้งหมดแห่งฟ้าสวรรค์ยืนข้างๆ พระองค์ ทั้งข้างขวาและข้างซ้ายพระหัตถ์ และพระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘ใครจะชักนำอาหับพระราชาแห่งอิสราเอลให้ขึ้นไปและล้มลงที่ราโมทกิเลอาด’ บ้างก็ทูลอย่างนี้ บ้างก็ทูลอย่างนั้น แล้วมีวิญญาณหนึ่งออกมายืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ทูลว่า ‘ข้าพระองค์เองจะชักนำเขา’ และพระยาห์เวห์ตรัสกับมันว่า ‘จะทำอย่างไร?’ และมันทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะออกไปและจะเป็นวิญญาณมุสาอยู่ในปากของผู้เผยพระวจนะทุกคนของเขา’ และพระองค์ตรัสว่า ‘เจ้าไปชักนำได้ และเจ้าจะทำสำเร็จ จงไปทำตามนั้นเถิด’ ฉะนั้น ดูสิ พระยาห์เวห์ทรงใส่วิญญาณมุสาในปากของผู้เผยพระวจนะเหล่านี้ของฝ่าพระบาท พระยาห์เวห์ได้ตรัสเรื่องร้ายเกี่ยวกับฝ่าพระบาท” แล้วเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์เข้ามาใกล้และตบแก้มมีคายาห์พูดว่า “พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ไปจากข้าพูดกับเจ้าด้วยทางใด?” และมีคายาห์ตอบว่า “นี่แน่ะ เจ้าจะเห็นในวันนั้น เมื่อเจ้าเข้าไปในห้องชั้นในเพื่อซ่อนตัว” และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสว่า “จงจับมีคายาห์ แล้วส่งเขากลับไปให้อาโมนผู้ว่าราชการเมือง และโยอาชราชโอรส และบอกว่า ‘พระราชาตรัสดังนี้ว่า เอาคนนี้ไปจำคุกไว้ ให้อาหารกับน้ำอย่างจำกัด จนกว่าเราจะกลับมาโดยสวัสดิภาพ’ ” และมีคายาห์ทูลว่า “ถ้าฝ่าพระบาทเสด็จกลับมาโดยสวัสดิภาพได้จริงๆ พระยาห์เวห์ก็ไม่ได้ตรัสผ่านข้าพระบาท” และท่านกล่าวว่า “ประชาชนทั้งสิ้นเอ๋ย ขอจงฟังเถิด” พระราชาแห่งอิสราเอลกับเยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์ จึงเสด็จขึ้นไปยังราโมทกิเลอาด และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “เราจะปลอมตัวเข้าทำศึก แต่ท่านจงสวมเครื่องทรงของท่าน” และพระราชาแห่งอิสราเอลก็ทรงปลอมพระองค์เข้าทำศึก พระราชาแห่งซีเรียทรงสั่งบรรดาผู้บัญชาการรถรบของพระองค์ว่า “อย่ารบกับทหารใหญ่น้อย แต่มุ่งเฉพาะพระราชาแห่งอิสราเอล” และเมื่อบรรดาผู้บัญชาการรถรบเห็นเยโฮชาฟัท เขาทั้งหลายก็ว่า “เป็นพระราชาอิสราเอล” พวกเขาจึงหันไปจะสู้รบกับพระองค์ และเยโฮชาฟัททรงร้องขึ้น และพระยาห์เวห์ทรงช่วยพระองค์ พระเจ้าทรงให้เขาทั้งหลายออกไปเสียจากกษัตริย์ เมื่อบรรดาผู้บัญชาการรถรบเห็นว่าไม่ใช่พระราชาอิสราเอล ก็หันกลับไม่ไล่ตามพระองค์ แต่มีชายคนหนึ่งโก่งธนูยิงสุ่มไป ถูกพระราชาแห่งอิสราเอลเข้าระหว่างเกล็ดเกราะและแผ่นบังพระอุระ พระองค์จึงรับสั่งกับคนขับรถว่า “หันกลับเถอะ พาเราออกจากการรบ เพราะเราบาดเจ็บแล้ว” วันนั้นการรบก็ดุเดือดขึ้น และพระราชาอิสราเอลก็ทรงยันพระองค์เอง ขึ้นในรถรบโดยหันพระพักตร์ไปทางพวกซีเรียจนถึงเวลาเย็น แล้วพระองค์ก็สิ้นพระชนม์เมื่อดวงอาทิตย์ตก

2 พงศาวดาร 18:1-34 พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV (KJV)

ฝ่ายเยโฮชาฟัททรงมี​ทรัพย์​มั่งคั่งและเกียรติ​ใหญ่​ยิ่ง และพระองค์ทรงกระทำให้เป็นทองแผ่นเดียวกั​นก​ับอาหับ ครั้นล่วงมาหลายปี​พระองค์​เสด็จลงไปเฝ้าอาหับในสะมาเรีย และอาหับทรงฆ่าแกะและวัวมากมายสำหรับพระองค์ และสำหรับพลที่​มาก​ับพระองค์ และทรงชักชวนพระองค์​ให้​ขึ้นไปต่อสู้กับราโมทกิเลอาด อาหับกษั​ตริ​ย์​แห่​งอ​ิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทกษั​ตริ​ย์​แห่​งยูดาห์​ว่า “ท่านจะไปกับข้าพเจ้ายังราโมทกิเลอาดหรือ” พระองค์​ทูลตอบพระองค์​ว่า “ข้าพเจ้าก็เป็นอย่างที่ท่านเป็น ประชาชนของข้าพเจ้าก็เป็นดังประชาชนของท่าน เราจะอยู่กั​บท​่านในการสงคราม” และเยโฮชาฟัทตรัสกับกษั​ตริ​ย์​แห่​งอ​ิสราเอลว่า “ขอสอบถามดูพระดำรัสของพระเยโฮวาห์​วันนี้​เสี​ยก​่อน” แล​้วกษั​ตริ​ย์​แห่​งอ​ิสราเอลก็เรียกประชุมพวกผู้​พยากรณ์​ประมาณสี่ร้อยคนตรัสกับเขาว่า “ควรที่เราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือ หรือเราไม่ควรไป” และเขาทั้งหลายทูลตอบว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไปเถิด เพราะพระเจ้าจะทรงมอบไว้ในพระหัตถ์ของกษั​ตริ​ย์” แต่​เยโฮชาฟัททูลว่า “​ที่นี่​ไม่มี​ผู้​พยากรณ์​ของพระเยโฮวาห์​อี​กสักคนหนึ่งหรือซึ่งเราจะสอบถามได้” และกษั​ตริ​ย์​แห่​งอ​ิสราเอลทูลเยโฮชาฟั​ทว่า “ยั​งม​ีชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งเราจะให้ทูลถามพระเยโฮวาห์​ได้ แต่​ข้าพเจ้าชังเขา เพราะเขาพยากรณ์​แต่​ความร้ายเสมอ ไม่​เคยพยากรณ์​ความดี​เก​ี่ยวกับข้าพเจ้าเลย คนนั้นคื​อม​ีคายาห์​บุ​ตรอิมลาห์” และเยโฮชาฟัททูลว่า “ขอกษั​ตริ​ย์อย่าตรั​สด​ั่งนั้นเลย” แล​้วกษั​ตริ​ย์​แห่​งอ​ิสราเอลจึงเรียกมหาดเล็กคนหนึ่งเข้ามาและตรั​สส​ั่งว่า “ไปพามีคายาห์​บุ​ตรอิมลาห์มาเร็วๆ” ฝ่ายกษั​ตริ​ย์​แห่​งอ​ิสราเอลและเยโฮชาฟัทกษั​ตริ​ย์​แห่​งยูดาห์ ต่างประทับบนพระที่​นั่ง ทรงฉลองพระองค์ ณ ที่​ว่างตรงทางเข้าประตูเมืองสะมาเรีย และผู้​พยากรณ์​ทั้งปวงก็​พยากรณ์​ถวายอยู่ และเศเดคียาห์​บุ​ตรชายเคนาอะนาห์ จึงเอาเหล็กทำเป็นเขา และพูดว่า “พระเยโฮวาห์ตรั​สด​ังนี้​ว่า ‘ด้วยสิ่งเหล่านี้ เจ้​าจะผลักคนซีเรียไปจนเขาทั้งหลายถูกทำลาย’” และบรรดาผู้​พยากรณ์​ก็​พยากรณ์​อย่างนั้น ทูลว่า “ขอเสด็จขึ้นไปราโมทกิเลอาดเถิด และจะมี​ชัยชนะ เพราะพระเยโฮวาห์จะทรงมอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของกษั​ตริ​ย์” และผู้สื่อสารผู้ไปตามมีคายาห์​ได้​บอกท่านว่า “​ดู​เถิด ถ้อยคำของบรรดาผู้​พยากรณ์​ก็​พู​ดสิ่งที่​ดี​แก่​กษัตริย์​ดุ​จปากเดียวกัน ขอให้​ถ้อยคำของท่านเหมือนอย่างถ้อยคำของคนหนึ่งในพวกนั้น และพูดแต่​สิ​่งที่​ดี​” แต่​มี​คายาห์ตอบว่า “พระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์​อยู่​แน่​ฉันใด พระเจ้าของข้าพเจ้าตรั​สว​่าอย่างไร ข้าพเจ้าจะพู​ดอย​่างนั้น” และเมื่อท่านมาเฝ้ากษั​ตริ​ย์ กษัตริย์​ตรัสถามท่านว่า “​มี​คายาห์ ควรที่เราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือ หรือเราไม่ควรไป” และท่านทูลตอบพระองค์​ว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไปและจะมี​ชัยชนะ เขาทั้งหลายจะถูกมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” แต่​กษัตริย์​ตรัสกั​บท​่านว่า “เราได้​ให้​เจ้​าปฏิญาณกี่ครั้งแล้​วว​่า เจ้​าจะพู​ดก​ับเราแต่ความจริงในพระนามของพระเยโฮวาห์” และท่านทูลว่า “ข้าพระองค์​ได้​เห​็นคนอิสราเอลทั้งปวงกระจัดกระจายอยู่บนภู​เขา อย่างแกะที่​ไม่มี​ผู้​เลี้ยง และพระเยโฮวาห์ตรั​สว​่า ‘คนเหล่านี้​ไม่มี​นาย ให้​เขาต่างกลับยังเรือนของตนโดยสันติภาพเถิด’” กษัตริย์​แห่​งอ​ิสราเอลจึงทูลเยโฮชาฟั​ทว่า “ข้าพเจ้ามิ​ได้​บอกท่านแล้วหรือว่า เขาจะไม่​พยากรณ์​สิ​่​งด​ี​เก​ี่ยวกับข้าพเจ้าเลย แต่​สิ​่งชั่วร้ายต่างหาก” และมีคายาห์ทูลว่า “ฉะนั้นขอสดับพระวจนะของพระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์​ได้​เห​็นพระเยโฮวาห์ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ และบรรดาบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ยืนข้างๆพระองค์ข้างขวาพระหัตถ์และข้างซ้าย และพระเยโฮวาห์ตรั​สว​่า ‘​ผู้​ใดจะเกลี้ยกล่อมอาหับกษั​ตริ​ย์​แห่​งอ​ิสราเอล เพื่อเขาจะขึ้นไปและล้มลงที่ราโมทกิเลอาด’ บ้างก็ทู​ลอย​่างนี้ บ้างก็ทู​ลอย​่างนั้น แล​้วมีวิญญาณดวงหนึ่งมาข้างหน้าเฝ้าต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะเกลี้ยกล่อมเขาเอง’ และพระเยโฮวาห์ตรัสกับเขาว่า ‘จะทำอย่างไร’ และเขาทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะออกไปและจะเป็​นว​ิญญาณมุสาอยู่ในปากของผู้​พยากรณ์​ของเขาทุกคน’ และพระเยโฮวาห์ตรั​สว​่า ‘​เจ้​าไปเกลี้ยกล่อมเขาได้ และเจ้าจะทำได้​สำเร็จ จงไปทำเช่นนั้นเถิด’ เพราะฉะนั้นบัดนี้ ดู​เถิด พระเยโฮวาห์ทรงใส่วิญญาณมุสาในปากของเหล่าผู้​พยากรณ์​ของพระองค์ พระเยโฮวาห์ทรงลั่นพระวาจาเป็นความร้ายเกี่ยวกับพระองค์” แล​้วเศเดคียาห์​บุ​ตรชายเคนาอะนาห์​ได้​เข​้ามาใกล้และตบแก้มมีคายาห์​พูดว่า “พระวิญญาณของพระเยโฮวาห์ไปจากข้าพู​ดก​ับเจ้าได้​อย่างไร​” และมีคายาห์ตอบว่า “​ดู​เถิด เจ้​าจะเห็นในวันนั้น เมื่อเจ้าเข้าไปในห้องชั้นในเพื่อจะซ่อนตัวเจ้า” และกษั​ตริ​ย์​แห่​งอ​ิสราเอลตรั​สว​่า “จงจับมีคายาห์ พาเขากลับไปมอบให้อาโมนผู้ว่าราชการเมือง และแก่โยอาชราชโอรส และว่า ‘​กษัตริย์​ตรั​สด​ังนี้​ว่า เอาคนนี้จำคุกเสีย ให้​อาหารแห่งความทุกข์กั​บน​้ำแห่งความทุกข์ จนกว่าเราจะกลับมาโดยสันติ​ภาพ​’” และมีคายาห์ทูลว่า “ถ้าพระองค์เสด็จกลับมาโดยสันติ​ภาพ พระเยโฮวาห์​ก็​มิได้​ตรัสโดยข้าพระองค์” และท่านกล่าวว่า “บรรดาชนชาติทั้งหลายเอ๋ย ขอจงฟังเถิด” กษัตริย์​แห่​งอ​ิสราเอลกับเยโฮชาฟัทกษั​ตริ​ย์​แห่​งยูดาห์จึงเสด็จขึ้นไปยังราโมทกิเลอาด และกษั​ตริ​ย์​แห่​งอ​ิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟั​ทว่า “ข้าพเจ้าจะปลอมตัวเข้าทำศึก แต่​ท่านจงสวมเครื่องทรงของท่าน” และกษั​ตริ​ย์​แห่​งอ​ิสราเอลก็ทรงปลอมพระองค์ แล​้​วท​ั้งสองพระองค์​เข​้าทำสงคราม ฝ่ายกษั​ตริ​ย์ประเทศซีเรียทรงบัญชาบรรดาผู้บัญชาการรถรบของพระองค์​ว่า “อย่ารบกับทหารน้อยหรือใหญ่ แต่​มุ​่งเฉพาะกษั​ตริ​ย์​แห่​งอ​ิสราเอล” และอยู่มาเมื่อผู้บัญชาการรถรบแลเห็นเยโฮชาฟัท เขาทั้งหลายก็​ว่า “เป็นกษั​ตริ​ย์อิสราเอลแล้ว” เขาจึงหันเข้าไปจะสู้รบกับพระองค์ และเยโฮชาฟัททรงร้องขึ้น และพระเยโฮวาห์ทรงช่วยพระองค์ พระเจ้าทรงให้เขาทั้งหลายออกไปเสียจากพระองค์ และอยู่มาเมื่อผู้บัญชาการรถรบเห็​นว​่าไม่​ใช่​กษัตริย์​อิสราเอล ก็​หันรถกลับจากไล่ตามพระองค์ แต่​มี​ชายคนหนึ่งโก่งธนูยิงเดาไป ถู​กกษั​ตริ​ย์​แห่​งอ​ิสราเอลเข้าระหว่างเกล็ดเกราะและแผ่นบังพระอุระ พระองค์​จึงรับสั่งคนขับรถรบว่า “หันกลับเถอะ พาเราออกจากการรบ เพราะเราบาดเจ็บแล้ว” วันนั้นการรบก็​ดุ​เดือดขึ้น และกษั​ตริ​ย์อิสราเอลก็​พยุ​งพระองค์เองขึ้นไปในรถรบของพระองค์หันพระพักตร์​เข​้าสู้ชนซีเรียจนถึงเวลาเย็น แล​้วประมาณเวลาดวงอาทิตย์ตกพระองค์​ก็​สิ้นพระชนม์

2 พงศาวดาร 18:1-34 พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971 (TH1971)

ฝ่ายเยโฮชาฟัททรงมีทรัพย์มั่งคั่งและเกียรติใหญ่ยิ่ง และพระองค์ทรงกระทำให้เป็นทองแผ่นเดียวกันกับอาหับ ครั้นล่วงมาหลายปี พระองค์เสด็จลงไปเฝ้าอาหับในสะมาเรีย และอาหับทรงฆ่าแกะและวัวมากมายสำหรับพระองค์ และสำหรับพลที่มากับพระองค์ และทรงชักชวนพระองค์ให้ขึ้นไปต่อสู้กับราโมทกิเลอาด อาหับพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัท พระราชาแห่งยูดาห์ว่า <<ท่านจะไปกับข้าพเจ้ายังราโมทกิเลอาดหรือ>> พระองค์ทูลตอบพระองค์ว่า <<ข้าพเจ้าเป็นอย่างที่ท่านเป็น พลของข้าพเจ้าก็อย่างพลของท่าน เราจะอยู่กับท่านในการสงคราม>> และเยโฮชาฟัทตรัสกับพระราชาแห่งอิสราเอลว่า <<ขอสอบถามดูพระดำรัสของพระเจ้าเสียก่อน>> แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลก็เรียกประชุมพวกผู้เผยพระวจนะประมาณสี่ร้อยคน ตรัสกับเขาว่า <<ควรที่เราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือ หรือเราไม่ควรไป>> และเขาทั้งหลายทูลตอบว่า <<ขอเชิญเสด็จไปเถิด เพราะพระเจ้าจะทรงมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา>> แต่เยโฮชาฟัททูลว่า <<ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าอีกสักคนหนึ่งหรือ ซึ่งเราจะสอบถามได้>> และพระราชาแห่งอิสราเอลทูลเยโฮชาฟัทว่า <<ยังมีชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งเราจะให้ทูลถามพระเจ้าได้ แต่ข้าพเจ้าชังเขา เพราะเขาเผยแต่ความร้ายเสมอ ไม่เคยเผยความดีเกี่ยวกับข้าพเจ้าเลย คนนั้นคือ มีคายาห์บุตรอิมลาห์>> และเยโฮชาฟัททูลว่า <<ขอพระราชาอย่าตรัสดั่งนั้นเลย>> แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลจึงเรียก มหาดเล็กคนหนึ่งเข้ามาและตรัสสั่งว่า <<ไปพามีคายาห์บุตรอิมลาห์มาเร็วๆ>> ฝ่ายพระราชาแห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัท พระราชาแห่งยูดาห์ ต่างประทับบนพระที่นั่ง ทรงฉลองพระองค์อันงาม ณ ลานนวดข้าวตรงทางเข้าประตูเมืองสะมาเรีย และผู้เผยพระวจนะทั้งปวงก็เผยพระวจนะถวายอยู่ และเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์ จึงเอาเหล็กทำเป็นเขา และพูดว่า <<พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า <ด้วยสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะผลักคนซีเรียไปจนเขาทั้งหลายถูกทำลาย> >> และบรรดาผู้เผยพระวจนะก็เผยอย่างนั้น ทูลว่า <<ขอเสด็จไปราโมทกิเลอาดเถิด และจะมีชัยชนะ เพราะพระเจ้าจะทรงมอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา>> และผู้สื่อสารผู้ไปตามมีคายาห์ได้บอกท่านว่า <<ดูเถิด ถ้อยคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะก็พูดสิ่งที่เป็น มงคลแก่พระราชาดุจปากเดียวกัน ขอให้ถ้อยคำของท่านเหมือนอย่างถ้อยคำของคนหนึ่งในพวกนั้น และพูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล>> แต่มีคายาห์ตอบว่า <<พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด พระเจ้าของข้าพเจ้าตรัสว่าอย่างไรข้าพเจ้าจะพูดอย่างนั้น>> และเมื่อท่านมาเฝ้าพระราชา พระราชาตรัสถามท่านว่า <<มีคายาห์ ควรที่เราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือ หรือเราไม่ควรไป>> และท่านทูลตอบพระองค์ว่า <<ขอเชิญเสด็จขึ้นไป และจะมีชัยชนะ เขาทั้งหลายจะถูกมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์>> แต่พระราชาตรัสกับท่านว่า <<เราได้ให้เจ้าปฏิญาณกี่ครั้งแล้วว่า เจ้าจะพูดกับเราแต่ความจริงในพระนามของพระเจ้า>> และท่านทูลว่า <<ข้าบาทได้เห็นคนอิสราเอลทั้งปวงกระจัดกระจาย อยู่บนภูเขา อย่างแกะที่ไม่มีผู้ เลี้ยง และพระเจ้าตรัสว่า <คนเหล่านี้ไม่มีนาย ให้เขาต่างกลับยังเรือนของตนโดยสวัสดิภาพเถิด> >> พระราชาแห่งอิสราเอลจึงทูลเยโฮชาฟัทว่า <<ข้าพเจ้ามิได้บอกท่านแล้วหรือว่า เขาจะไม่เผยสิ่งดีเกี่ยวกับข้าพเจ้าเลย แต่สิ่งชั่วร้ายต่างหาก>> และมีคายาห์ทูลว่า <<ฉะนั้นขอสดับพระวจนะของพระเจ้า ข้าพระบาทได้เห็นพระเจ้าประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ และบรรดาบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ยืนข้างๆ พระองค์ ข้างขวาพระหัตถ์และข้างซ้าย และพระเจ้าตรัสว่า <ผู้ใดจะเกลี้ยกล่อมอาหับพระราชาแห่งอิสราเอล เพื่อเขาจะขึ้นไปและล้มลงที่ราโมทกิเลอาด> บ้างก็ทูลอย่างนี้ บ้างก็ทูลอย่างนั้น แล้วมีวิญญาณดวงหนึ่งมาข้างหน้า เฝ้าต่อพระพักตร์พระเจ้าทูลว่า <ข้าพระองค์จะเกลี้ยกล่อมเขาเอง> และพระเจ้าตรัสกับเขาว่า <จะทำอย่างไร> และเขาทูลว่า <ข้าพระบาทจะออกไปและจะเป็นวิญญาณมุสาอยู่ในปากของ ผู้เผยพระวจนะของเขาทุกคน> และพระองค์ตรัสว่า <เจ้าไปเกลี้ยกล่อมเขาได้ และเจ้าจะทำได้สำเร็จ จงไปเถิด> เพราะฉะนั้น ดูเถิด พระเจ้าทรงใส่วิญญาณมุสาในปากของเหล่าผู้เผย พระวจนะของฝ่าพระบาท พระเจ้าทรงลั่นพระวาจาเป็นความร้ายเกี่ยวกับฝ่าพระบาท>> แล้วเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์ได้เข้ามาใกล้และ ตบแก้มมีคายาห์พูดว่า <<พระวิญญาณของพระเจ้าไปจากข้าพูดกับเจ้าได้อย่างไร>> และมีคายาห์ตอบว่า <<ดูเถิด เจ้าจะเห็นในวันนั้น เมื่อเจ้าเข้าไปในห้องชั้นในเพื่อจะซ่อนตัวเจ้า>> และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสว่า <<จงจับมีคายาห์ พาเขากลับไปมอบให้อาโมนผู้ว่าราชการเมือง และแก่โยอาชราชโอรส และว่า <พระราชาตรัสดังนี้ว่า เอาคนนี้จำคุกเสีย ให้อาหารนักโทษกับน้ำเท่านั้น จนกว่าเราจะกลับมาโดยสวัสดิภาพ> >> และมีคายาห์ทูลว่า <<ถ้าฝ่าพระบาทเสด็จกลับมาโดยสวัสดิภาพ พระเจ้าก็มิได้ตรัสโดยข้าพระบาท>> และท่านกล่าวว่า <<บรรดาชนชาติทั้งหลายเอ๋ย ขอจงฟังเถิด>> พระราชาแห่งอิสราเอล กับเยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์ จึงเสด็จไปยังราโมทกิเลอาด และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า <<ข้าพเจ้าจะปลอมตัวเข้าทำศึก แต่ท่านจงสวมเครื่องทรง ของท่าน>> และพระราชาแห่งอิสราเอลก็ทรงปลอมพระองค์เข้า ทำสงคราม ฝ่ายพระราชาประเทศซีเรียทรงบัญชาแม่ทัพรถรบ ของพระองค์ว่า <<อย่ารบกับทหารใหญ่น้อย แต่มุ่งเฉพาะพระราชาแห่งอิสราเอล>> และอยู่มาเมื่อผู้บัญชาการรถรบแลเห็นเยโฮชาฟัท เขาทั้งหลายก็ว่า <<เป็นพระราชาอิสราเอลแล้ว>> เขาจึงหันเข้าไปจะสู้รบกับพระองค์ และเยโฮชาฟัททรงร้องขึ้น และพระเจ้าทรงช่วยพระองค์ พระเจ้าทรงให้เขาทั้งหลายออกไปเสียจากกษัตริย์ และอยู่มาเมื่อผู้บัญชาการรถรบเห็นว่าไม่ใช่ พระราชาอิสราเอล ก็หันรถกลับจากไล่ตามพระองค์ แต่มีชายคนหนึ่งโก่งธนูยิงเดาไป ถูกพระราชาแห่งอิสราเอลเข้าระหว่าง เกล็ดเกราะและแผ่นบังพระอุระ พระองค์จึงรับสั่งกับคนขับรถว่า <<หันกลับเถอะ พาเราออกจากการรบ เพราะเราบาดเจ็บแล้ว>> วันนั้นการรบก็ดุเดือดขึ้น และพระราชาก็พยุงพระองค์เอง ขึ้นไปในรถรบของพระองค์หันพระพักตร์เข้าสู้ชน ซีเรียจนถึงเวลาเย็น แล้วประมาณเวลาดวงอาทิตย์ตกพระองค์ก็สิ้นพระชนม์

2 พงศาวดาร 18:1-34 พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (TNCV)

กษัตริย์เยโฮชาฟัททรงมั่งคั่งและมีเกียรติมาก ทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับอาหับโดยการอภิเษกสมรส ต่อมาเยโฮชาฟัทเสด็จไปเยือนอาหับที่เมืองสะมาเรีย อาหับล้มแกะและวัวมากมายเพื่อรับรองเยโฮชาฟัทกับคณะ แล้วตรัสชวนเยโฮชาฟัทไปโจมตีเมืองราโมทกิเลอาด อาหับแห่งอิสราเอลตรัสถามเยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ว่า “ท่านจะช่วยข้าพเจ้ารบกับราโมทกิเลอาดไหม?” เยโฮชาฟัทตรัสตอบว่า “เราสองเป็นพวกเดียวกัน คนของข้าพเจ้าก็เหมือนเป็นคนของท่าน เราจะออกรบร่วมกับท่าน” แต่เยโฮชาฟัทตรัสกับกษัตริย์อิสราเอลอีกว่า “เราควรทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าก่อน” กษัตริย์อิสราเอลจึงทรงเรียกผู้เผยพระวจนะราวสี่ร้อยคนมาเข้าเฝ้า และตรัสถามว่า “เราควรจะไปรบกับราโมทกิเลอาดหรือเราควรจะยับยั้งไว้?” เขาเหล่านั้นทูลว่า “ไปเลยพระเจ้าข้า เพราะพระเจ้าจะทรงมอบดินแดนนั้นไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท” แต่เยโฮชาฟัทตรัสถามว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ถามเลยหรือ?” กษัตริย์อิสราเอลตรัสตอบเยโฮชาฟัทว่า “ยังมีอยู่คนหนึ่งซึ่งเราจะทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าผ่านทางเขาได้ แต่ข้าพเจ้าเกลียดเขา เพราะเขาไม่เคยพยากรณ์เรื่องดีๆ เกี่ยวกับข้าพเจ้าเลย มีแต่เรื่องร้ายๆ เขาคือมีคายาห์บุตรอิมลาห์” เยโฮชาฟัทตรัสว่า “พระองค์อย่าตรัสเช่นนั้นเลย” ดังนั้นกษัตริย์อิสราเอลจึงทรงเรียกมหาดเล็กคนหนึ่งมาและสั่งว่า “จงนำตัวมีคายาห์บุตรอิมลาห์มาเดี๋ยวนี้” ทั้งกษัตริย์อิสราเอลและกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ทรงฉลองพระองค์เต็มยศประทับอยู่บนพระที่นั่งในลานนวดข้าวใกล้ประตูเมืองสะมาเรีย ในขณะที่กลุ่มผู้เผยพระวจนะก็กล่าวพยากรณ์ไปต่อหน้า ฝ่ายเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์ได้ทำเขาเหล็กขึ้นมาและประกาศว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เจ้าจะขวิดพวกอารัมด้วยเขาเหล็กนี้จนพวกเขาย่อยยับไป’ ” ผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆ ทั้งหมดก็กำลังพยากรณ์อย่างเดียวกันว่า “จงบุกเข้าโจมตีราโมทกิเลอาดและมีชัยชนะเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท” คนที่ไปตามตัวมีคายาห์ได้กล่าวกับเขาว่า “ดูเถิด ผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆ ล้วนแต่ทำนายเป็นเสียงเดียวกันว่ากษัตริย์จะชนะ ขอให้ท่านกล่าวไปในทางที่ดีเช่นเดียวกับพวกเขา” แต่มีคายาห์กล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะพูดแต่สิ่งที่พระเจ้าของข้าพเจ้าตรัสฉันนั้น” เมื่อเขามาถึง กษัตริย์ตรัสถามว่า “มีคายาห์เอ๋ย เราควรจะไปรบกับราโมทกิเลอาดหรือเราควรจะยับยั้งไว้?” มีคายาห์ทูลว่า “จงบุกเข้าโจมตีราโมทกิเลอาดและมีชัยชนะเถิด เพราะพวกเขาจะถูกมอบไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท” กษัตริย์ตรัสว่า “เราจะต้องให้เจ้าสาบานกี่ครั้งกี่หนว่าจะบอกแต่ความจริงแก่เราในพระนามพระยาห์เวห์?” มีคายาห์จึงทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นอิสราเอลทั้งปวงกระจัดกระจายไปตามภูเขาต่างๆ เหมือนแกะไม่มีคนเลี้ยง และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘คนเหล่านี้ไม่มีนาย ให้ทุกคนกลับบ้านโดยสวัสดิภาพเถิด’ ” กษัตริย์อิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ข้าพเจ้าบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่า เขาไม่เคยพยากรณ์เรื่องดีๆ เกี่ยวกับข้าพเจ้าเลย มีแต่เรื่องร้ายทั้งนั้น?” มีคายาห์กล่าวต่อไปว่า “ฉะนั้นจงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ ทูตสวรรค์ทั้งปวงยืนเฝ้าทั้งซ้ายและขวา แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘ใครจะหลอกล่อกษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลให้ไปโจมตีราโมทกิเลอาดและตายที่นั่น?’ “มีผู้ทูลเสนอต่างๆ นานา ในที่สุดมีวิญญาณดวงหนึ่งก้าวออกมายืนต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและกราบทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะหลอกล่อเขา’ “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามว่า ‘ทำอย่างไร?’ “วิญญาณนั้นทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะไปเป็นวิญญาณมุสาในปากของผู้เผยพระวจนะทุกคนของอาหับ’ “พระองค์จึงตรัสว่า ‘เจ้าจะหลอกล่อเขาสำเร็จ ไปทำตามนั้นเถิด’ “ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงใส่วิญญาณมุสาในปากผู้เผยพระวจนะเหล่านี้ของฝ่าพระบาท องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีประกาศิตให้ฝ่าพระบาทถึงแก่หายนะแล้ว” แล้วเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์จึงเข้ามาตบหน้ามีคายาห์และถามว่า “พระวิญญาณจากองค์พระผู้เป็นเจ้าออกจากข้าไปพูดกับเจ้าได้อย่างไร?” มีคายาห์ตอบว่า “ท่านจะรู้คำตอบในวันที่ท่านไปหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องชั้นใน” กษัตริย์อิสราเอลจึงตรัสสั่งว่า “จงคุมตัวมีคายาห์กลับไปหาอาโมนผู้ว่าการของเมืองนี้และโยอาชบุตรของเรา บอกสองคนนั้นว่า ‘กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่าจงขังชายผู้นี้ไว้ในคุก ให้แต่ขนมปังและน้ำประทังชีวิต จนกว่าเราจะกลับมาอย่างปลอดภัย’ ” มีคายาห์ประกาศว่า “หากฝ่าพระบาทกลับมาอย่างปลอดภัย ก็แสดงว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ตรัสผ่านทางข้าพเจ้า” แล้วเขาก็กล่าวอีกว่า “ทุกคนจงจำคำพูดของข้าพเจ้าไว้!” ดังนั้นกษัตริย์อิสราเอลและกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์จึงเสด็จไปยังราโมทกิเลอาด กษัตริย์อิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ข้าพเจ้าจะปลอมตัวไปออกรบ ส่วนท่านแต่งเครื่องทรงกษัตริย์ของท่านเถิด” แล้วกษัตริย์อิสราเอลก็ทรงปลอมพระองค์และเสด็จออกรบ ฝ่ายกษัตริย์อารัมได้ทรงบัญชาผู้บัญชาการรถรบของพระองค์ว่า “อย่าต่อสู้กับใคร ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือผู้น้อย แต่จงต่อสู้กับกษัตริย์อิสราเอลเพียงองค์เดียวเท่านั้น” เมื่อผู้บัญชาการรถรบเหล่านั้นเห็นเยโฮชาฟัท พวกเขาก็คิดว่า “นี่เป็นกษัตริย์อิสราเอล” จึงหันมาโจมตี แต่เยโฮชาฟัทร้องขึ้นมาและองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยไว้ พระเจ้าทรงให้พวกเขาถอยห่างไปจากกษัตริย์ เพราะเมื่อผู้บัญชาการรถรบเหล่านั้นเห็นว่าไม่ใช่กษัตริย์อิสราเอล ก็เลิกไล่ล่าพระองค์ แต่มีคนหนึ่งยิงธนูสุ่มไปถูกกษัตริย์อิสราเอลตรงช่วงรอยต่อของเสื้อเกราะ พระองค์จึงตรัสกับพลขับว่า “จงกลับรถพาเราออกจากสนามรบ เราบาดเจ็บแล้ว” สงครามดำเนินไปอย่างดุเดือดตลอดทั้งวัน กษัตริย์อิสราเอลทรงประคองพระองค์เองไว้ในรถม้าศึก ให้ประจันหน้ากับชาวอารัมจนตกเย็น เมื่อดวงอาทิตย์ตกก็สิ้นพระชนม์

2 พงศาวดาร 18:1-34 พระคัมภีร์ ฉบับแปลใหม่ (NTV) (NTV)

เยโฮชาฟัท​มี​ทรัพย์​สมบัติ​และ​เกียรติยศ​มาก และ​ท่าน​เป็น​พันธมิตร​กับ​อาหับ​โดย​การ​สมรส หลาย​ปี​ต่อ​มา ท่าน​ลง​ไป​เยี่ยมเยียน​อาหับ​ที่​สะมาเรีย อาหับ​ก็​ให้​ฆ่า​แกะ​และ​โค​มากมาย​เพื่อ​เลี้ยง​รับรอง​ท่าน​และ​ผู้​ติดตาม แล้ว​ก็​ชักชวน​ท่าน​ให้​ขึ้น​ไป​โจมตี​ราโมทกิเลอาด อาหับ​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​พูด​กับ​เยโฮชาฟัท​กษัตริย์​แห่ง​ยูดาห์​ว่า “ท่าน​จะ​ไป​ราโมทกิเลอาด​ด้วย​กัน​กับ​เรา​ไหม” ท่าน​ตอบ​ว่า “เรา​พร้อม​จะ​ไป​อย่าง​แน่นอน ทหาร​ของ​เรา​ก็​เป็น​เหมือน​ทหาร​ของ​ท่าน เรา​จะ​ไป​รบ​ด้วย​กัน​กับ​ท่าน” และ​เยโฮชาฟัท​พูด​กับ​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ว่า “ขอ​ให้​ท่าน​ถาม​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ก่อน” กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​จึง​เรียก​ประชุม​บรรดา​ผู้​เผย​คำ​กล่าว 400 คน และ​ถาม​ว่า “พวก​เรา​ควร​จะ​ไป​โจมตี​ราโมทกิเลอาด หรือ​ว่า​เรา​ควร​จะ​ยั้ง​ไว้​ก่อน” เขา​ทั้ง​หลาย​ตอบ​ว่า “ขึ้น​ไป​เถิด เพราะ​ว่า​พระ​เจ้า​จะ​มอบ​เมือง​นั้น​ไว้​ใน​มือ​ของ​กษัตริย์” แต่​เยโฮชาฟัท​ถาม​ว่า “ที่​นี่​ไม่​มี​ผู้​เผย​คำ​กล่าว​ของ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ที่​พวก​เรา​จะ​ถาม​ได้​อีก​หรือ” กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​พูด​กับ​เยโฮชาฟัท​ว่า “ยัง​มี​อีก​คน​ที่​พวก​เรา​จะ​ถาม​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ผ่าน​เขา​ได้ มิคายาห์​บุตร​ของ​อิมลาห์ แต่​เรา​เกลียด​ชัง​เขา เพราะ​เขา​ไม่​เคย​เผย​ความ​เกี่ยว​กับ​เรา​ใน​เรื่อง​ดี มี​แต่​เรื่อง​ร้าย” และ​เยโฮชาฟัท​พูด​ว่า “ขอ​ท่าน​อย่า​พูด​เช่น​นั้น​เลย” แล้ว​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ก็​เรียก​ขันที​คน​หนึ่ง​มา และ​สั่ง​ว่า “พา​มิคายาห์​บุตร​ของ​อิมลาห์​มา​โดย​ด่วน” กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​และ​เยโฮชาฟัท​กษัตริย์​แห่ง​ยูดาห์​ก็​กำลัง​นั่ง​บน​บัลลังก์ ทรง​เครื่อง​ด้วย​เสื้อ​คลุม​ของ​กษัตริย์ อยู่​ที่​ลาน​นวด​ข้าว ที่​ทาง​เข้า​ของ​ประตู​เมือง​สะมาเรีย และ​บรรดา​ผู้​เผย​คำ​กล่าว​ก็​กำลัง​เผย​ความ​ต่อ​หน้า​ท่าน​ทั้ง​สอง เศเดคียาห์​บุตร​เค-นาอะนาห์ ได้​ทำ​เขา​สัตว์​ด้วย​เหล็ก​กล้า​คู่​หนึ่ง เขา​พูด​ว่า “พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​กล่าว​ว่า ‘เจ้า​จะ​โจมตี​ชาว​อารัม​จน​กระทั่ง​พวก​เขา​พินาศ​ไป​ด้วย​เขา​สัตว์​นี้’” และ​บรรดา​ผู้​เผย​คำ​กล่าว​เห็น​ด้วย และ​พูด​ว่า “จง​ขึ้น​ไป​โจมตี​ราโมทกิเลอาด และ​ท่าน​จะ​ชนะ พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​จะ​มอบ​เมือง​นั้น​ไว้​ใน​มือ​ของ​กษัตริย์” ผู้​ถือ​สาสน์​เป็น​คน​ที่​ไป​เรียก​มิคายาห์​ให้​มา และ​บอก​เขา​ว่า “ดู​เถิด บรรดา​ผู้​เผย​คำ​กล่าว​ของ​พระ​เจ้า​พูด​กัน​เป็น​เสียง​เดียว​ถึง​เรื่อง​ของ​กษัตริย์​ใน​ทาง​ที่​ดี​งาม” แต่​มิคายาห์​พูด​ว่า “ตราบ​ที่​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​มี​ชีวิต​อยู่​ฉันใด พระ​เจ้า​บอก​ข้าพเจ้า​อย่าง​ไร ข้าพเจ้า​ก็​จะ​พูด​ไป​ตาม​นั้น” เมื่อ​เขา​มา​เข้า​เฝ้า​กษัตริย์ กษัตริย์​กล่าว​กับ​เขา​ว่า “มิคายาห์ พวก​เรา​ควร​จะ​ไป​โจมตี​ราโมทกิเลอาด หรือ​ว่า​เรา​ควร​จะ​ยั้ง​ไว้​ก่อน” เขา​ตอบ​กษัตริย์​ว่า “ขึ้น​ไป​เถิด และ​ท่าน​จะ​ชนะ พวก​เขา​จะ​ถูก​มอบ​ไว้​ใน​มือ​ของ​ท่าน” แต่​กษัตริย์​กล่าว​กับ​เขา​ว่า “เรา​ควร​จะ​ให้​ท่าน​สาบาน​กี่​ครั้ง​ว่า ท่าน​พูด​แต่​ความ​จริง​กับ​เรา​ใน​พระ​นาม​ของ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า” มิคายาห์​จึง​ตอบ​ว่า “ข้าพเจ้า​เห็น​ทหาร​อิสราเอล​ทั้ง​ปวง​กระจัด​กระจาย​อยู่​บน​ภูเขา ประหนึ่ง​ฝูง​แกะ​ที่​ปราศจาก​ผู้​เลี้ยง​ดู และ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​กล่าว​ว่า ‘คน​เหล่า​นี้​ขาด​เจ้า​นาย ปล่อย​ให้​ทุก​คน​กลับ​บ้าน​ไป​ด้วย​ความ​ปลอดภัย​เถิด’” และ​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​กล่าว​กับ​เยโฮชาฟัท​ว่า “เรา​บอก​ท่าน​แล้ว​มิ​ใช่​หรือ​ว่า เขา​จะ​ไม่​ประกาศ​สิ่ง​ดี​ใดๆ ที่​พระ​เจ้า​เปิดเผย​ให้​ทราบ มี​แต่​เรื่อง​ร้าย” มิคายาห์​กล่าว​ว่า “ฉะนั้น​จง​ฟัง​คำ​ของ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​เถิด ข้าพเจ้า​เห็น​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​สถิต​บน​บัลลังก์​ของ​พระ​องค์ และ​บรรดา​ชาว​สวรรค์​กำลัง​ยืน​อยู่​ที่​เบื้อง​ขวา​และ​เบื้อง​ซ้าย และ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​กล่าว​ว่า ‘ใคร​จะ​หลอก​ล่อ​อาหับ​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ให้​ไป​ยัง​ราโมทกิเลอาด เขา​จะ​ได้​จบ​ชีวิต​ลง​ที่​นั่น’ ทูต​สวรรค์​องค์​หนึ่ง​พูด​อย่าง​หนึ่ง และ​ทูต​สวรรค์​อีก​องค์​ก็​พูด​อีก​อย่าง ครั้น​แล้ว วิญญาณ​ดวง​หนึ่ง​ก็​มา​ยืน ณ เบื้อง​หน้า​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า และ​กล่าว​ว่า ‘ข้าพเจ้า​จะ​ไป​หลอก​ล่อ​อาหับ​เอง’ และ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​กล่าว​กับ​วิญญาณ​ว่า ‘ด้วย​วิธี​ไหน’ วิญญาณ​ตอบ​ว่า ‘ข้าพเจ้า​จะ​ไป​ทำ​ให้​บรรดา​ผู้​เผย​คำ​กล่าว​ของ​อาหับ​พูด​เท็จ’ พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​กล่าว​ว่า ‘เจ้า​จะ​ไป​หลอก​ล่อ​เขา​ได้​สำเร็จ ไป​ทำ​ตาม​นั้น​เถิด’ ดังนั้น ดู​เถิด พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ได้​ทำ​ให้​บรรดา​ผู้​เผย​คำ​กล่าว​ของ​ท่าน​พูด​เท็จ เพราะ​ว่า​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​บอก​ล่วง​หน้า​ว่า​สิ่ง​เลว​ร้าย​จะ​เกิด​ขึ้น​กับ​ท่าน” แล้ว​เศเดคียาห์​บุตร​ของ​เค-นาอะนาห์​เข้า​มา​ใกล้ และ​ตบ​หน้า​มิคายาห์ และ​พูด​ว่า “พระ​วิญญาณ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​จาก​เรา​ไป และ​ไป​พูด​กับ​เจ้า​ได้​อย่าง​ไร” มิคายาห์​พูด​ว่า “ดู​เถิด ท่าน​จะ​เห็น​ใน​วัน​นั้น เวลา​ที่​ท่าน​เข้า​ไป​ซ่อน​ตัว​ใน​ห้อง​ชั้น​ใน” กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​กล่าว​ว่า “จง​จับ​ตัว​มิคายาห์​ไว้ และ​พา​ตัว​กลับ​ไป​ให้​อาโมน ผู้​ว่า​ราชการ​เมือง และ​โยอาช​บุตร​ของ​กษัตริย์ และ​บอก​ว่า ‘กษัตริย์​กล่าว​ดังนี้ “จำคุก​ชาย​คน​นี้​เสีย และ​ประทัง​ชีวิต​เขา​ด้วย​ขนมปัง​และ​น้ำ​เท่า​นั้น จน​กว่า​เรา​จะ​กลับ​มา​อย่าง​ปลอดภัย”’” และ​มิคายาห์​พูด​ว่า “ถ้า​ท่าน​กลับ​มา​อย่าง​ปลอดภัย พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ก็​ไม่​ได้​กล่าว​ผ่าน​ข้าพเจ้า” และ​พูด​ต่อ​อีก​ว่า “ขอ​ให้​ท่าน​ทุก​คน​ฟัง​ไว้​เถิด” ดังนั้น กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​และ​เยโฮชาฟัท​กษัตริย์​แห่ง​ยูดาห์​ก็​ไป​โจมตี​เมือง​ราโมทกิเลอาด กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​กล่าว​กับ​เยโฮชาฟัท​ว่า “เรา​จะ​ปลอม​ตัว​เข้า​ไป​ใน​สนาม​รบ ส่วน​ท่าน​ก็​สวม​เสื้อ​คลุม​ของ​กษัตริย์​ไป” ดังนั้น​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​จึง​ปลอม​ตัว​เข้า​ไป​ใน​สนาม​รบ ฝ่าย​กษัตริย์​แห่ง​อารัม​ได้​สั่ง​ผู้​บัญชา​การ​รถ​ศึก​ว่า “ไม่​ต้อง​ต่อสู้​กับ​ผู้​ใด​เลย นอกจาก​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​เท่า​นั้น” เมื่อ​บรรดา​ผู้​บัญชา​การ​รถ​ศึก​เห็น​เยโฮชาฟัท ก็​พูด​ว่า “นั่น​เป็น​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล” ดังนั้น​พวก​เขา​จึง​หัน​ไป​โจมตี​ท่าน แต่​เยโฮชาฟัท​ก็​ส่ง​เสียง​ร้อง และ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ก็​ช่วย​ท่าน ครั้น​ผู้​บัญชา​การ​รถ​ศึก​ทราบ​ว่า ท่าน​ไม่​ใช่​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล จึง​ได้​ถอย​กลับ และ​หยุด​ตาม​ไล่​ฆ่า​ท่าน แต่​ชาย​ผู้​หนึ่ง​สุ่ม​ยิง​ธนู​ออก​ไป ลูก​ธนู​เจาะ​ระหว่าง​เกราะ​ป้องกัน​ตัว​กับ​เกราะ​หุ้ม​หน้าอก​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล ดังนั้น​ท่าน​สั่ง​สารถี​ว่า “หัน​กลับ​ไป พา​เรา​ออก​จาก​สนาม​รบ เพราะ​เรา​บาด​เจ็บ” การ​สู้รบ​ใน​วัน​นั้น​ก็​ดำเนิน​ต่อ​ไป และ​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ถูก​พยุง​ตัว​ขึ้น​ใน​รถ​ศึก​โดย​หัน​หน้า​ไป​ทาง​ชาว​อารัม​จน​ถึง​เวลา​เย็น ท่าน​สิ้น​ชีวิต​ตอน​ตะวัน​ตก​ดิน