พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2023 พร้อมด้วยคำอธิบายจาก นิคกี้และพิพพา กัมเบลUkázka

ฤทธิ์เดชแห่งการทรงสถิตของพระองค์
ครั้งหนึ่ง ดยุคแห่งเวลลิงตันเคยกล่าวถึงนโปเลียนว่า 'เมื่อก่อนข้าพเจ้าเคยพูดถึงนโปเลียนว่า การปรากฏตัวของเขาในสนามรบสร้างความแตกต่างให้กับทหารสี่หมื่นคน’ การปรากฏตัวของผู้นำที่เข้มแข็งนั้นส่งผลกระทบอันทรงพลัง ผลกระทบของฤทธิ์เดชอันน่าทึ่งแห่งการทรงสถิตของพระเจ้าจะยิ่งใหญ่กว่านั้นเพียงใด! มีความหิวกระหายฝ่ายวิญญาณอันล้ำลึกในหัวใจของเราทุกคน ซึ่งสามารถอิ่มใจได้โดยการทรงสถิตขององค์พระเจ้าเท่านั้น อาดัมและเอวาสูญเสียการรับรู้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้าไปเนื่องจากความบาปของพวกเขา ภายหลังจากนั้น การทรงสถิตของพระเจ้าก็ไม่ได้ถูกรับรู้อย่างที่เคยเป็นมา พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ เราไม่สามารถมองข้ามคุณค่าของการทรงสถิตของพระองค์ ผ่านทางกางเขนและการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูเท่านั้นที่เป็นหนทางไปสู่การทรงสถิตของพระองค์ และของประทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ดำรงอยู่ในคุณทำให้สิ่งนี้เป็นไปได้ บัดนี้คุณสามารถรับรู้ได้ถึงฤทธิ์เดชแห่งการทรงสถิตของพระเจ้าสดุดี 90:1-10
การทรงสถิตของพระองค์เปิดเผยความบาปลับ ๆ ของเรา
ผมจำได้ถึงชายคนหนึ่งในกลุ่มย่อยอัลฟ่าของเราพูดว่า เขาไม่อาจเข้าใจแนวคิดเรื่อง ‘ความบาป' ได้ เพราะว่าเขา ‘ใช้ชีวิตเป็นคนดี และไม่ได้ตระหนักจริง ๆ ว่ามีอะไรบางอย่างผิดพลั้งไปในชีวิตของเขา’ หลายสัปดาห์ต่อมา ในอัลฟ่าสุดสัปดาห์ เขาได้มีประสบการณ์กับพระเยซู และเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาน้ำตาไหลอาบแก้ม และพูดว่า เขาตระหนักแล้วว่าชีวิตเขาเต็มไปด้วยความบาปเพียงไร และเขาได้รับการยกโทษบาปมากเพียงไร
ในแสงสว่างการทรงสถิตของพระเจ้าเปิดเผยจุดที่มืดมนในหัวใจของเรา ความบาปต่าง ๆ ซึ่งเราอาจอยากปกปิดไว้แม้กระทั่งกับตัวเราเอง ผู้เขียนสดุดีกล่าวว่า ‘ข้าแต่องค์เจ้านาย พระองค์ทรงเป็นที่พักพิงของข้าพระองค์ทั้งหลาย...พระองค์ทรงตั้งความชั่วของข้าพระองค์ทั้งหลายไว้ต่อพระพักตร์พระองค์ ทรงตั้งบาปลับๆ ของพวกข้าพระองค์ไว้ในแสงสว่างแห่งพระพักตร์ของพระองค์’ (ข้อ 1ก, 8)
ยิ่งเราใช้เวลาอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้านานเท่าไหร่ แสงสว่างก็ยิ่งส่องสว่างและเน้นความบาปของเรามากขึ้น อัครสาวกเปาโลเริ่มโดยการบรรยายถึงตัวเองว่าเป็น ‘ผู้เล็กน้อยที่สุดในพวกอัครทูต’ (1 โครินธ์ 15:9) ภายหลังเขาเรียกตัวเองว่า ‘คนเล็กน้อยยิ่งกว่าเล็กน้อยที่สุดในพวกธรรมิกชนทั้งหมด’ (เอเฟซัส 3:8) ท้ายที่สุด เขาอธิบายตัวเองว่าเป็นคนบาป ‘ตัวเอ้‘! (1 ทิโมธี 1:16)
ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนที่เลวลงกว่าเดิม แต่เป็นเพราะว่า ผ่านทางฤทธิ์เดชอันน่าทึ่งของการทรงสถิตของพระเจ้า ท่านได้ตระหนักถึงแสงสว่างที่ฉายส่องเข้าไปมากขึ้น และมากขึ้นในหัวใจของเขา นั่นอาจดูเหมือนเป็นในทางลบมาก ๆ แต่ที่จริงแล้วสำหรับอาจารย์เปาโล นี่ออกจะตรงกันข้าม ความรู้สึกท่วมท้นของเขาคือการสำนึกในพระคุณและสรรเสริญ เพราะว่าไม่สำคัญว่าเขาเคยทำพลาดขนาดไหน เขาทราบว่าตนเองได้รับการให้อภัยแล้วและรู้จักความสัมพันธ์กับพระเจ้า
ในฐานะคริสเตียน เราสามารถมองไปยังความสัมพันธ์แบบนั้นซึ่งจะคงอยู่ตลอดกาล พระเจ้าทรงนิจนิรันดร์ ‘พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล’ (สดุดี 90:2ข) กระนั้นเรารู้ดีเหลือเกินว่า ชีวิตมนุษย์เปราะบางเพียงใด ผู้เขียนสดุดีเตือนเราว่า เรากลับเป็นผงคลีดินอย่างมนุษย์ (ข้อ 3) เราเป็นเหมือนหญ้าที่งอกขึ้น และเหี่ยวแห้งและร่วงโรยไปในเวลาเย็น (ข้อ 5–6) และช่วงชีวิตโดยทั่วไปของเราก็เพียงเจ็ดสิบหรือแปดสิบปี (ข้อ 10)
ธรรมชาติอันนิรันดร์กาลของพระเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่พระองค์ทรงเป็น สำหรับเรา ชีวิตนิรันดร์ไม่ใช่เรื่องอัตโนมัติหรือเรื่องธรรมชาติ ‘ค่าจ้างของความบาปคือความตาย’ แต่ของประทานจากพระเจ้าคือ ‘ชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา’ (โรม 6:23)
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์สำหรับพระโลหิตของพระเยซูซึ่งชำระข้าพระองค์จากความบาปและความไม่ชอบธรรมทุกประการ ขอบพระคุณที่โดยทางพระองค์แล้ว ข้าพระองค์สามารถเข้าถึงการทรงสถิตอันน่าทึ่งของพระเจ้าได้
โรม 15:14-33
การทรงสถิตของพระองค์มาโดยฤทธิ์เดชขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์
การทรงสถิตของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณ และชีวิตของคนอื่น ๆ อย่างสุดขั้ว พระองค์ทรงให้ฤทธิ์เดชทั้งถ้อยคำของคุณและการกระทำของคุณ พระองค์ทรงทำให้หมายสำคัญและการอัศจรรย์เกิดขึ้นได้ นี่คือลักษณะเด่นของคริสตจักรยุคแรก นี่คือสิ่งที่ควรเป็นลักษณะเด่นของคริสตจักรของเราในปัจจุบัน
ตามที่เปาโลเริ่มต้นนำจดหมายอันยิ่งใหญ่ของท่านที่มีไปถึงชาวโรมเข้าสู่ข้อสรุป เขาพูดถึงการทรงเรียกส่วนตัว ‘การมอบหมายที่ต้องจดจ่ออย่างยิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้ข้าพเจ้า เพื่อให้เป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ไปยังคนต่างชาติ และทำหน้าที่ปุโรหิตฝ่ายข่าวประเสริฐของพระเจ้า เพื่อคนต่างชาติจะเป็นเครื่องบูชาที่ชอบพระทัย คือเป็นที่ชำระไว้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ (ข้อ 16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ท่ามกลางสิ่งต่าง ๆ ปุโรหิตคือคนที่ไปหาพระเจ้าในฐานะตัวแทนของผู้คน และไปหาผู้คนในฐานะตัวแทนของพระเจ้า ในแง่นี้ ตอนนี้เราทุกคนล้วนเป็นปุโรหิต คุณอยู่ในการรับใช้แบบปุโรหิต เมื่อคุณนำสารจาก พระเจ้าไปสู่โลก และเมื่อคุณไปหาพระเจ้า การวิงวอน การอธิษฐานเผื่อคนที่อยู่ภายนอกคริสตจักรให้มารู้จักกับพระคริสต์ เมื่อพวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขากลายเป็น ‘เครื่องบูชาที่ชอบพระทัย คือเป็นที่ชำระไว้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ (ข้อ 16)
ความทะเยอทะยานของเปาโลคือการเทศนาข่าวประเสริฐ ในที่ซึ่งพระเยซูทรงเป็นที่รู้จัก ดังนั้นเพื่อให้ท่านจะไม่ก่อขึ้นบนรากฐานที่คนอื่นได้วางไว้ก่อนแล้ว (ข้อ 20–21) ท่านทำสิ่งนี้โดย ‘ เพื่อจะให้คนต่างชาติเชื่อฟัง ” (ข้อ 18) ท่าน “จนข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์อย่างถ้วนถี่’ (ข้อ 19)
การประกาศข่าวประเสริฐของเขานั้นเป็นแบบองค์รวม เหมือนอย่างพระเยซู การเทศนาด้วยถ้อยคำมาพร้อมกับการสาธิตการทะลุทะลวงเข้ามาแห่งแผ่นดินของพระเจ้า นี่เกี่ยวข้องกับสามสิ่ง:
-
ถ้อยคำ
พระกิตติคุณนั้นเป็นสารที่ทรงพลังที่สุดในโลก อาจารย์เปาโลประกาศพระกิตติคุณ: 'ทรงใช้ข้าพเจ้าทางคำสอน…’ (ข้อ 18) -
การงาน การประกาศพระกิตติคุณอย่างเต็มรูปแบบไม่ได้มีแค่ถ้อยคำแต่เป็นการกระทำ ‘โดยทรงใช้ข้าพเจ้าทางคำสอนและการกระทำ’ (ข้อ 18) ตัวอย่างเช่นเปาโลกระทำในฐานะของผู้ที่ยากจนดังที่เราได้เห็นที่นี่ ท่านเขียนว่า 'เรี่ยไรเงินส่งไปให้แก่ธรรมิกชนที่ยากจน…เพื่อบรรเทาความยากจนของพวกเขา’ (ข้อ 26–27, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
-
การอัศจรรย์
การประกาศพระกิตติคุณของเปาโล รวมเอาการสาธิตฤทธิ์เดชอันเหนือธรรมชาติของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ‘อิทธิฤทธิ์แห่งหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ในฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า’ (ข้อ 19)
คนจะได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่เขาเห็นมากกว่าสิ่งที่เขาได้ยิน มีคำกล่าวว่า ‘สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น’ เปาโลให้สิ่งที่สิบปากว่า (ถ้อยคำ) และสิ่งที่ตาเห็น (การกระทำและการอัศจรรย์)
การเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันเพ็นเทคอสต์นำเอาการทรงสถิตของพระเจ้าเทลงมาอย่างใหญ่หลวง ตอนนี้พระเจ้าทรงประทับท่ามกลางประชากรของพระองค์โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงสถิตอยู่ในหัวใจของคุณ สำคัญที่สุด พระองค์ทรงสถิตในชุมชนที่รวมตัวกัน (ตัวอย่างเช่น ในมัทธิว 18:20)
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อธิษฐานให้พระองค์ทรงฟื้นฟูคริสตจักรของพระองค์ในปัจจุบัน ด้วยฤทธิ์เดชอันน่าทึ่งของการทรงสถิตของพระองค์ท่ามกลางเรา ขอทรงเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ลงมาเหนือข้าพระองค์อีกครั้ง ขอให้ข้าพระองค์ได้เห็นชีวิตเปลี่ยนแปลงไปอย่างสุดขั้วเมื่อผู้คนเชื่อฟังพระองค์โดยสิ่งที่ข้าพระองค์พูดและกระทำอิทธิฤทธิ์แห่งหมายสำคัญและการอัศจรรย์
1 พงศาวดาร 12:23:14-17
การทรงสถิตของพระองค์เรียกร้องให้เกิดความยำเกรง
อย่ามองข้ามคุณค่าของการทรงสถิตของพระเจ้า องค์จอมเจ้านายอยู่กับคุณในตอนนี้ ตลอดเวลา โดยพระวิญญาณของพระองค์ที่ประทับอยู่ในคุณ
พระเจ้าทรงเตรียมประชากรของพระองค์สำหรับสิทธิพิเศษอันไม่ธรรมดานี้ ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม หีบพันธสัญญาเป็นสัญลักษณ์แห่งการทรงสถิตของพระเจ้า เราเห็นในพระธรรมตอนนี้ถึงความสำคัญของสิ่งนี้
ดาวิดหารือกับบรรดาผู้นำ ดาวิดตรัสกับชุมนุมชนอิสราเอลทั้งปวงว่า "ถ้าท่านทั้งหลายเห็นดีด้วยและถ้าเป็นพระทัยของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรา… ให้พวกเรานำหีบแห่งพระเจ้าของพวกเรามายังพวกเราอีก ”… ชุมนุมชนทั้งสิ้นนั้นก็ตกลงที่จะทำตาม… (พวกเขา) ไป… เพื่อจะได้นำ… หีบของพระเจ้า…หีบที่เรียกตามพระนาม เขาทั้งหลายก็บรรทุกหีบของพระเจ้าไป…ดาวิดกับอิสราเอลทั้งปวงก็ร่าเริงกันอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยเต็มกำลังของเขาทั้งหลาย ด้วยเพลง พิณเขาคู่ พิณใหญ่ รำมะนา ฉาบ และแตร’ (13:1–8)"
หีบพันธสัญญานั้นเป็นหีบหุ้มด้วยทองซึ่งบรรจุสิ่งหนึ่งจากหลายสิ่งนั่นคือ แผ่นศิลาจารึกบัญญัติสิบประการ (ดู ฮีบรู 9:4) หีบพันธสัญญาเป็นวัตถุที่ศักดิ์สิทธิที่สุดในระบบการนมัสการแบบพระวิหาร นี่เป็นสิ่งที่ทำหน้าที่หลัก ๆ ในฐานะสัญลักษณ์แห่งการทรงสถิตอันน่าทึ่งของพระเจ้า ซึ่งเมฆแห่งพระสิริก็ปกคลุมเหนือหีบนั้น (1 พงศาวดาร 13:6, ดูร่วมกับ อพยพ 25:22, 1 ซามูเอล 4:7)
ในอีกแง่หนึ่ง การทรงสถิตของพระเจ้าก็นำเอาพระพรอันยิ่งใหญ่มาด้วย เมื่อหีบแห่งพระเจ้าอยู่กับครอบครัวของโอเบดเอโดมเป็นเวลาสามเดือน ‘พระยาห์เวห์ทรงอวยพรแก่ครัวเรือนของโอเบดเอโดมกับทั้งสิ้นซึ่งเขามีอยู่’ (1 พงศาวดาร 13:14) ในอีกแง่หนึ่ง นี่ก็เรียกร้องความยำเกรงอย่างยิ่งและสิ่งใดที่หมิ่นประมาทก็นำมาซึ่งการพิพากษา (ข้อ 9–10)
ดาวิดเคารพและยำเกรงอย่างยิ่งต่อพระเจ้าและการทรงสถิตของพระองค์ ผลก็คือ ‘พระยาห์เวห์ทรงอวยพรแก่ครัวเรือนของโอเบดเอโดมกับทั้งสิ้นซึ่งเขามีอยู่’ (ข้อ 13) ดาวิดทราบว่าตำแหน่งของตนในการเป็นผู้นำมาจากพระเจ้า (14:2) พระองค์ทรงทูลขอการทรงนำของพระเจ้าเป็นประจำว่าพระองค์ควรทำอะไร (ข้อ 10, 14) ‘พระเจ้าตรัสตอบพระองค์‘ (ข้อ 14)
ผลก็คือ ‘กิตติศัพท์ของดาวิดก็ลือไปสู่ประเทศทั้งปวง และพระยาห์เวห์ทรงให้ประชาชาติทั้งปวงครั่นคร้ามดาวิด’ (ข้อ 17) คำว่า ‘ครั่นคร้าม’ หมายถึง การเคารพอย่างยิ่ง เพราะว่าดาวิดเคารพการทรงสถิตของ พระเจ้า พระเจ้าทรงให้เกียรติท่าน และเจิมตั้งท่านไว้ให้ทุกคนเคารพดาวิด
ขอบพระคุณพระเจ้า ที่โดยพระโลหิตขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ข้าพระองค์สามารถเข้าถึงพระบัลลังก์ของพระองค์ด้วยความกล้าหาญและมั่นใจได้ ขอบพระคุณพระองค์โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงทำให้การทรงสถิตของพระองค์อยู่กับข้าพระองค์ตลอดเวลา
Pippa Adds
สดุดี 90:4–6
‘เพราะพันปีในสายพระเนตรของพระองค์ เป็นเหมือนวานนี้ซึ่งผ่านไปแล้วหรือเหมือนยามเดียวในกลางคืน พระองค์ทรงเทการล่วงหลับบนเขาทั้งหลาย พวกเขาก็เหมือนหญ้าที่งอกขึ้นในเวลาเช้า ในเวลาเช้ามันก็บานออกและงอกขึ้น เมื่อเวลาเย็นก็ร่วงโรยและเหี่ยวไป’
บางครั้งฉันก็รู้สึกเช่นนั้นอยู่บ้าง!
นิคกี้รับประกอบพิธีไว้อาลัยที่สุสานพัทนีย์ เวล เมื่อหลายปีก่อน เป็นสุสานขนาดใหญ่ มีหลุมฝังศพมากมาย และสุสานแห่งนี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายพัน หรืออาจจะหลายล้านของจำนวนสุสาน นี่เตือนใจฉันอีกครั้งว่า มีคนมากมายเพียงใดที่เสียชีวิตไปก่อนเรา และชีวิตที่เรากำลังดำเนินอยู่นั้นช่างแสนสั้น ทุกวันที่เราได้อยู่บนโลกนี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่งนัก ฉันไม่อยากเสียเวลาต่อไปแม้สักวันเดียว
References
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)O tomto plánu

การเข้าใจพระคัมภีร์อาจเป็นเรื่องยาก ทำไมไม่ลองอ่านหรือฟังพร้อมกับคำอธิบายทุกวัน จากนิคกี้และพิพพา กัมเบล -ผู้บุกเบิกอัลฟ่า เริ่มวันนี้เลย!
More
Podobné plány

Zkus se modlit

Svoboda

Milost ve vašem příběhu

Co je mým účelem? Nauč se milovat Boha a milovat druhé lidi

Uvědomit si, že Bůh mě miluje

Sedmidenní vánoční rozjímání

Ester: Pro chvíli, jako je tato

Zůstávejme v Ježíši: Přinášejme trvalé ovoce (Love God Greatly/Miluj Boha nesmírně)

Porazit sebevědomí a úzkost
