พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2023 พร้อมด้วยคำอธิบายจาก นิคกี้และพิพพา กัมเบลMuestra

เห็นความดีงามของพระองค์
พี่สาวกับผมไปปิกนิกด้วยกันกับพ่อแม่ตอนที่เรายังเด็ก เราสองคนกำลังวิ่งเล่นบนรางรถไฟที่เราทุกคนต่างเดาว่ามันใช้งานไม่ได้แล้ว ทันใดนั้นแม่ของผมก็ตะโกนเสียงดังขึ้นว่า ‘กระโดด! ออกไปจากราง!’ เธอเห็นรถไฟด่วนวิ่งมาตามราง ขอบคุณพระเจ้าที่เราไม่ได้ตะโกนกลับไปว่า ‘อย่ามาหลอกกันเลย พวกเราไม่กลัวหรอก’ แน่นอนถ้าเราทำอย่างนั้น ผมคงไม่สามารถมานั่งเขียนบรรยายเรื่องราวนี้ได้ในตอนนี้ แต่เราทั้งสองได้กระโดดออกจากรางทันที คำสั่งนี้เกิดจากความรักของแม่ที่มีต่อลูก พระบัญญัติของพระเจ้าเกิดขึ้นจากความดีงามของพระองค์ และความรักที่พระองค์มีต่อคุณ ที่พระองค์ทรงประทานให้เพื่อ ‘ประโยชน์สุขของท่านเอง’ (เฉลยธรรมบัญญัติ 10:13) ให้เรามองไปที่ความดีของพระองค์ คำเตือนของพระเยซูเกี่ยวกับการพิพากษาที่กำลังจะมาถึง และวิธีเตรียมพร้อมสำหรับการพิพากษานั้นมาจากความรักที่พระองค์มีต่อคุณ ในเนื้อหาทั้งหมดสำหรับวันนี้ เราจะได้เห็นว่าการเชื่อฟังเป็นวิธีที่จะสัมผัสกับความดีของเจ้า และเป็นแม่เหล็กดึงดูดพระพรของพระองค์สดุดี 43:1-5
การทรงสถิตของพระเจ้า
เช่นเดียวกับบุรุษและสตรีที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าตลอดยุคสมัยที่ผ่านมา ผู้เขียนพระธรรมตอนนี้กำลังต่อสู้กับภาวะกดดันทางฝ่ายวิญญาณ จิตใจเขา ‘ฝ่อ’ (ข้อ 5) จิตวิญญาณของเขา ‘กระสับกระส่าย’ อยู่ภายในตัว (ข้อ 5) พระเยซูเองก็ร้องทูลออกมาว่า ‘เดี๋ยวนี้ใจของเราเป็นทุกข์’ และ ‘ใจเราเป็นทุกข์แทบจะตาย’ (ยอห์น 12:27; มาระโก 14:34)
ผู้เขียนพระธรรมสดุดีถูกล้อมรอบไปด้วย ‘ประชาชาติที่ไม่ใช่ผู้จงรักภักดี’ (สดุดี 43:1ก) ซึ่งเป็นคนที่ ‘คนล่อลวงและอยุติธรรม’ (ข้อ 1ข) พวกเขาถูกศัตรูข่มเหงรังแก (ข้อ 2ข) มีบางสิ่งที่เป็นจริงแท้แน่นอนเกี่ยวกับพระธรรมสดุดีนี้ นั่นคือชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราอาจต้องเผชิญกับการต่อสู้ การต่อต้าน และแม้กระทั่งภาวะซึมเศร้าในชีวิตได้
การตอบสนองที่ถูกต้องคือการเข้าเฝ้าพระเจ้า อธิษฐานขอการทรงนำ และการทรงสถิตและ ‘ความยินดีอย่าง ที่สุด’ ของพระองค์ (ข้อ 3–4) ประเด็นหลักในการทรงสถิตของพระเจ้าที่อยู่ในประชากรของพระองค์ในเวลา นั้นคือพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม ที่สร้างขึ้นบน ‘ภูเขา’ นั้นเป็น ‘ที่ประทับของพระองค์’ (ข้อ 3) ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่พระเยซูเป็นพระวิหารที่ความบริบูรณ์ของพระเจ้าสถิตอยู่ในพระองค์ (ดู ยอห์น 2:19–21; โคโลสี 1:19)
ในวันเพ็นเทคอสต์ พระเยซูทรงเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เหนือบุคคล และเหนือผู้คนทั้งหลายซึ่งเป็นที่ทรงสถิตของพระเจ้า (‘พระวิหารบริสุทธิ์’) ของพระองค์ในขณะนี้ ‘คริสตจักร’ ไม่ควรน่าเบื่อ แต่ควรจะเป็นสถานที่แห่งความสุข เต็มล้นไปด้วยความชื่นชมยินดี และการสรรเสริญ
หัวใจสำคัญของการเชื่อฟัง คือ การเข้าเฝ้าพระเจ้า วางใจในความดีของพระองค์ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรก็ตาม สิ่งที่เราต้องการในความมืดมน คือ การทรงสถิตของพระเจ้า และคุณสามารถวางใจได้ว่าท้ายที่สุดแล้วคุณจะพบสิ่งใด
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดส่งความสว่าง และความจริงของพระองค์ให้นำข้าพระองค์ไปสู่ที่ประทับของพระองค์ (สดุดี 43:3ก)
ลูกา 12:35-59
บำเหน็จของพระเยซู
ชีวิตเป็นบำเหน็จที่แสนวิเศษ คุณถูก ‘รับฝาก’ (ข้อ 48) ด้วยของประทานและความรับผิดชอบ เป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ ที่คุณต้องรู้จักใช้สิ่งเหล่านี้ คำเตือนที่เราได้รับมาตลอดในพระธรรมตอนนี้ เกี่ยวกับวิธีที่คุณใช้ชีวิตของคุณอันเป็นผลมาจากความรัก พระเยซูทรงเตือนถึงการพิพากษาที่จะมาถึง และวิธีเตรียมตัวให้พร้อม
พระเยซูทรงเรียกคุณให้ ‘คาดเอวไว้’ คือพร้อมที่จะรับใช้ (ข้อ 35) รอคอยว่าวันนี้พระเยซูจะกลับมา นี่ช่างเป็นบำเหน็จที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ สำหรับคนที่พร้อม ‘บ่าวพวกนั้นซึ่งนายมาพบว่ากำลังคอยเฝ้าอยู่ก็เป็นสุข เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายผู้นั้นจะคาดเอวไว้และให้บ่าวพวกนั้นนั่งลง และท่านจะมาปรนนิบัติ’ (ข้อ 37ก) คุณจะได้นั่งร่วมโต๊ะอาหารกับพระเยซู และพระองค์จะปรนนิบัติคุณ (ข้อ 37ข) ความดี และพระคุณของพระเยซู แทบไม่น่าเชื่อพระองค์ทรงพลิกบทบาทในแบบที่มนุษย์ส่วนใหญ่คาดไม่ถึงด้วยซ้ำ
เตรียมตัวให้พร้อมเพื่อการกลับมาของพระองค์ (ข้อ 40) จงเป็นเหมือน ‘พ่อบ้านซื่อสัตย์และฉลาด’ (ข้อ 42) คุณจะได้บำเหน็จมากมาย อันเป็นผลดีทำให้คุณ ‘เป็นสุข’ (ข้อ 43) พระองค์จะตั้งให้คุณเป็นผู้ดูแล ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพระองค์ (ข้อ 44)
เป็นเรื่องอันตรายมากในการคิดว่าพระเยซูยังไม่เสด็จมาตอนนี้ (ข้อ 45) เพราะเราคิดว่าเราสามารถทำในสิ่งที่ชอบได้ต่อไป และจะมีเวลาเหลือเฟือที่ค่อยกลับมาทำให้สิ่งต่าง ๆ ถูกต้องทีหลัง
เป็นความจริงกับความคิดที่ว่า ‘นายของข้าคงจะมาช้า’ หลอกลวงคนรับใช้ที่ไม่ฉลาดให้ละเลยงานและไม่ทำตามที่นายต้องการ (ข้อ 45) สำหรับคนจำนวนมากในปัจจุบันดูเหมือนว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่ห่างไกล หรือไม่เกี่ยวข้องรวมถึงมีผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อชีวิตของพวกเขา เรื่องราวนี้เป็นคำเตือนที่เตือนใจเราว่าวันหนึ่งจะมีการพิพากษาในทุกสิ่งที่เราทำ และนั่นก็ทำให้เราควรที่จะเริ่มตอบสนองโดยทันที
พระเยซูตรัสว่า ถ้าคุณรู้ว่ามีอะไรผิดพลาดและคุณยังทำมันต่อไป สิ่งนั้นจะแย่ยิ่งกว่าการทำอะไรผิดโดยที่คุณไม่รู้ตัว แต่สุดท้ายก็พลาดอยู่ (ข้อ 47–48)
พระเยซูทรงเรียกให้คุณเชื่อฟังและรับใช้พระองค์ด้วยความสัตย์ซื่อ และด้วยสติปัญญา หากคุณใช้สิ่งที่พระเจ้าประทานให้คุณอย่างชาญฉลาด พระองค์จะทรงอวยพรคุณมากขึ้นด้วยความรับผิดชอบ ยิ่งพระเจ้าประทาน ให้คุณมากเท่าไหร่ความรับผิดชอบก็จะยิ่งมากขึ้นด้วยเพื่อใช้ให้เกิดผลสูงสุด พระเยซูตรัสว่า ‘คนที่ได้รับมาก จะต้องเรียกเอาจากคนนั้นมาก และคนที่ได้รับฝากไว้มาก ก็จะต้องทวงเอาจากคนนั้นมาก’ (ข้อ 48ข)
หากคุณมีบ้านที่มีความสุข มีการศึกษาที่ดี สุขภาพ มีเพื่อนฝูง งาน อาหาร เสื้อผ้า วันหยุด และหากคุณ สามารถเข้าถึงพระคัมภีร์ได้สะดวก มีอิสระในการสามัคคีธรรมและอธิษฐานและอื่น ๆ คุณก็ถือเป็นอีกคนหนึ่งที่ได้รับมากจากพระเจ้า และได้รับความคาดหวังมากขึ้นด้วยเช่นกัน
พระเยซูไม่ได้มีชีวิตที่ง่ายดาย พระองค์ตรัสว่า ‘เราจะต้องรับบัพติศมาอย่างหนึ่ง เราเป็นทุกข์มากจนกว่า จะสำเร็จ!’ (ข้อ 50) พระเยซูทรงดำเนินอยู่ภายใต้เงาของไม้กางเขน พระองค์ทรงทราบว่ากำลังจะต้องเผชิญ กับการทนทุกข์ เมื่อเรารู้ว่าเรากำลังเผชิญกับความยากลำบากหรือความท้าทายบางอย่างในชีวิตเรามักจะ รู้สึกว่า ‘ถูกทรมานจนกว่าจะสำเร็จ’ (ข้อ 50, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Revised Standard Version โดยผู้แปล) หากเรารู้สึกเช่นนี้กับปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ จะต้องน่ากลัวเพียงใดสำหรับพระเยซูเมื่อพระองค์เผชิญกับ ความน่าสะพรึงกลัวของการตรึงกางเขนซึ่งแบกรับบาปของคนทั้งโลก
นี่คงเป็นวิธีที่พระเยซูนำสันติสุขมาให้เราในองค์พระเจ้า แต่พระเยซูตรัสว่าพอถึงช่วงหนึ่งเราจะไม่พบสันติสุข เสมอไป แต่จะมีการแตกแยกเกิดขึ้น: ‘พวกท่านคิดว่าเรามาเพื่อจะให้เกิดสันติภาพในโลกหรือ? เราบอกท่านว่า ไม่ใช่ แต่จะให้แตกแยกกันต่างหาก’ (ข้อ 51) ความแตกแยกนี้สามารถเกิดขึ้นกับผู้ที่ใกล้ชิดและเกี่ยวข้องกับ เรามากที่สุดด้วยซ้ำ อาจมีการแแตกแยกระหว่างผู้ที่อยู่เพื่อพระเยซูและผู้ที่ต่อต้านพระองค์
แต่กระนั้นคุณยังถูกเรียกให้เป็นผู้สร้างสันติด้วยเช่นกัน 'จงอุตส่าห์หาช่องที่จะปรองดอง’ (ข้อ 58)
ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้พร้อมเสมอสำหรับงานรับใช้ และขอทรงใช้ข้าพระองค์ให้เกิดผลสูงสุด จากทุกสิ่งที่ทรงประทานให้กับข้าพระองค์
เฉลยธรรมบัญญัติ 11:1-12:32
กำลังที่มาจากพระเจ้า
พระเยซูไม่ได้ทรงเป็นคนแรกที่เชื่อมโยงความรักและการเชื่อฟังเข้าด้วยกัน ธรรมบัญญัติของโมเสสที่พระเจ้าประทานไว้ให้นั้นออกมาจากความรักของพระองค์ ซึ่งเราถูกเรียกให้ตอบสนองต่อความรักนี้ด้วย ‘จงรักพระเจ้าของท่าน รักษาพระดำรัสและกฎเกณฑ์ของพระองค์ให้ดี เชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ตลอดเวลาที่เหลือ’ (11:1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพระวจนะของพระเจ้าซึมซับอยู่ในทุกส่วนของชีวิตคุณ ‘จงใส่ถ้อยคำเหล่านี้ของเราไว้ในใจ ให้ลงไปในส่วนลึกในใจท่าน ... สอนถ้อยคำเหล่านี้แก่บุตรหลานของท่าน จงพูดถึงถ้อยคำเหล่านี้ไม่ว่าจะอยู่ที่ ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในบ้าน หรือเดินอยู่ตามทาง จงพูดถึงถ้อยคำเหล่านี้ตั้งแต่ตื่นจนนอนลงในตอนมืด’ (ข้อ 18–19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
จงรู้จัก ศึกษา และสอนพระวจนะของพระเจ้ารวมถึงนำไปปฏิบัติใช้ในชีวิตของคุณ พระพรอันยิ่งใหญ่มาจาก การดำเนินชีวิตอย่างเปิดเผย ซื่อสัตย์ การดำเนินในความสว่างแห่งความจริงของพระเจ้าดังที่พระองค์ได้สำแดง ออกมาจากพระวจนะของพระองค์
พระองค์ทรงสัญญาว่าจะเทพระพรของพระองค์ลงมาแก่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระดำรัสของพระองค์อย่างสัตย์ซื่อ ‘ให้รักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายและปรนนิบัติพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน’ (ข้อ 13; ดูข้อ 22,27 ด้วย)
การไม่เชื่อฟังเป็นสิ่งที่ละเลยและเป็นการทำลายล้างมาก ผมรู้ว่าในชีวิตของผมเองนั้น การทำบาปโดยเจตนา นำไปสู่ความรู้สึกผิดและทำให้หมดพลังงานไป ท้ายที่สุดเราก็ทุกข์ทรมาน โมเสสกล่าวอย่างเกิดผลว่า ‘เห็นความดีของพระองค์’: ‘เพราะนัยน์ตาของท่านทั้งหลายได้เห็นพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ทั้งสิ้นของ พระยาห์เวห์ซึ่งพระองค์ทรงกระทำนั้น ดังนั้นท่านทั้งหลายจงรักษาพระบัญญัติทั้งสิ้นซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชา ท่านในวันนี้ เพื่อท่านทั้งหลายจะเข้มแข็ง…’ (ข้อ 7,8) การเชื่อฟังนำมาซึ่งพระพรแห่งความเข้มแข็ง
เลือกในสิ่งที่ดี พระเจ้าตรัสว่า ‘วันนี้ข้าพเจ้านำท่านมาถึงทางแยกแห่งพระพรและคำแช่งสาป’ (ข้อ 26, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) หากคุณเลือกการเชื่อฟัง คุณจะได้รับพรจากพระเจ้า คุณจะเป็นดั่งแม่เหล็กดึงดูดพระพรของพระองค์ สติปัญญาคือการเลือกที่จะทำในสิ่งที่จะเติมเต็มคุณได้ในภายหลัง
การทดลอง คือ การล่อลวงไม่ให้เราเชื่อฟังพระเจ้าเนื่องจากคนรอบข้างต่างทำเช่นนั้น โมเสสกล่าวว่า ‘จงระวังตัวว่าท่านจะไม่หลงติดตามพวกเขา หลังจากที่พวกเขาถูกทำลายต่อหน้าท่านแล้วนั้น และจงระวังที่จะไม่ไต่ถามเรื่องพระของพวกเขาโดยกล่าวว่า “ประชาชาติเหล่านี้ปรนนิบัติพระของพวกเขา อย่างไร? เพื่อเราจะทำด้วยเช่นกัน”’ (12:30) เขากล่าวต่อไปว่า ‘ทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าบัญชาพวกท่านไว้นั้น จงระวังที่จะทำตาม ห้ามเพิ่มอะไรเข้าหรือตัดอะไรออกไป’ (ข้อ 32)
ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับความดีทั้งสิ้นของพระองค์ โปรดเติมความรักและเสริมกำลัง โปรดเติมความสุขและความชื่นบาน ความสัตย์ซื่อ และสติปัญญาของพระองค์แก่ข้าพระองค์ในวันนี้
Pippa Adds
เฉลยธรรมบัญญัติ 11:18–20
‘จงใส่ถ้อยคำเหล่านี้ของข้าพเจ้าไว้ในใจและในจิตของพวกท่าน จงผูกไว้ที่มือของท่านเป็นหมายสำคัญ และคาดไว้ที่หน้าผากของท่านเป็นสัญลักษณ์ และพวกท่านจงสอนถ้อยคำเหล่านี้แก่บุตรหลานของท่าน จงพูดถึงถ้อยคำเหล่านี้เมื่อท่านอยู่ในบ้าน และเมื่อท่านเดินอยู่ตามทาง เมื่อท่านนอนลงหรือลุกขึ้น ท่านจงเขียนคำเหล่านี้ไว้ที่เสาประตูบ้าน และที่ประตูของท่าน’
เรียนรู้ข้อพระคำต่าง ๆ ไว้ในขณะที่คุณยังอายุไม่มาก (เพราะมันยากกว่ามากเมื่อคุณอายุมากขึ้น!) ฉันไม่แน่ใจว่าเราสอนพระคัมภีร์ให้ลูกได้ดีพอแค่ไหน แม้ว่าบางครั้งฉันจะติดข้อพระคำไว้บนตู้เย็น!
แต่ข้อพระวจนะที่ฉันเรียนรู้เมื่อครั้งยังเด็ก ฉันกลับไปใคร่ครวญครั้งแล้วครั้งเล่า
References
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)Acerca de este Plan

การเข้าใจพระคัมภีร์อาจเป็นเรื่องยาก ทำไมไม่ลองอ่านหรือฟังพร้อมกับคำอธิบายทุกวัน จากนิคกี้และพิพพา กัมเบล -ผู้บุกเบิกอัลฟ่า เริ่มวันนี้เลย!
More
Planes relacionados

La Adoración Como Un Estilo De Vida

El Arte Perdido Del Servicio

Esperanza Que No Desespera

Vivir Una Vida Que Importe

Un Matrimonio Que Da Fruto

¡Hola Rival! Un Plan De Juego Bíblico Para Deportistas Cristianos.

“Cuando EL ALMA DESPIERTA”

Seis Pasos Para Una Vida De Oración Más Comprometida

Agotamiento Pastoral
