พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2023 พร้อมด้วยคำอธิบายจาก นิคกี้และพิพพา กัมเบลMuestra

เจ็ดวิธีในการจำเริญขึ้นในสติปัญญา
*Lawrence of Arabia (ลอเรนซ์แห่งอาราเบีย)* เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาล เนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกดัดแปลงมาจากเรื่องราวของ ที.อี. ลอเรนซ์ ในช่วงเวลาที่ เขาอยู่ในอาระเบีย เขาเป็นนักวิชาการด้านโบราณคดีชาวอังกฤษ และนักยุทธศาสตร์การทหาร (ดำรงตำแหน่งผู้พันเมื่ออายุได้สามสิบปี) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในการทำภารกิจในตะวันออกกลางในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 1 ลอเรนซ์ได้ใคร่ครวญถึงแก่นของสติปัญญาและบันทึกลงในหนังสือของเขา ซึ่งเขียนขึ้นในปี 1926 โดยมีชื่อเรื่องว่า *The Seven Pillars of Wisdom (เสาเจ็ดต้นแห่งสติปัญญา)* สันนิษฐานว่าลอเรนซ์ได้แนวคิดนี้มาจากพระธรรมของวันนี้ที่ว่า ‘*ปัญญา*ได้สร้างบ้านของเธอแล้วเธอได้ทำ*เสาเจ็ดต้น*ของเธอไว้’ (สุภาษิต 9:1)ในพระคัมภีร์มักใช้เลขเจ็ดเพื่อแสดงถึงความบริบูรณ์ หรือความสมบูรณ์ ในหนังสือพระธรรมสุภาษิตนั้นเราจะพบวิธีต่าง ๆ ที่จะได้มาและจำเริญขึ้นในสติปัญญาโดยมา จากคำสอนของพระเยซูและข้อพระคำต่าง ๆ เจ็ดสิ่งเหล่านี้สามารถเห็นได้ในเนื้อหาของวันนี้สุภาษิต 9:1-12
1. การจัดการกับความคิดเห็น
เมื่อเราถูกกล่าวหา ไม่เป็นการดีที่จะโต้ตอบคนที่ชอบเยาะเย้ยเรา (ข้อ 7) เพราะถ้าเราทำอย่างนั้นพวกเขา จะเกลียดเรามากยิ่งขึ้น แต่มันกลับก็คุ้มค่ากว่าที่จะโต้ตอบกับคนที่ ‘มีสติปัญญา’
การตอบสนองต่อคำวิพากวิจารณ์ของเราไม่ควรเป็นการ ‘เยาะเย้ย’ ‘กล่าวหยาบช้า’ หรือ ‘เกลียด’ (ข้อ 7–8) แต่เราต้องเรียนรู้จากสิ่งนั้นเพื่อที่จะ ‘มีปัญญา’ และ ‘เพิ่มพูนการเรียนรู้’ (ข้อ 9) อันที่จริงการ ตอบสนองต่อคำดูถูกของเราควรเพิ่มความ ‘รัก’ เข้าไป (ข้อ 8ข)
นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติของผมต่อคำวิจารณ์มักถูกล่อลวงให้สาดด้วยวาจาคำพูด หรือพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง แต่หนทางของสติปัญญาคือการพยายามเรียนรู้จากการตำหนิติชม หรือคำสั่งสอนไม่ว่าจะยากแค่ไหนก็ตาม
ตัวอย่างเช่น ผมสังเกตเห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาว่าผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเขาพูด มักจะไม่ค่อยพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น แต่ผู้ที่ยอมรับข้อเสนอแนะและไม่ฉุนเฉียวต่อความคิดเห็นที่ เสริมสร้างมักจะได้รับการปรับปรุงตัวอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นคนประสิทธิภาพมากขึ้น ความสัมพันธ์ที่ ถูกต้องกับพระเจ้าจะเพิ่มพูนสติปัญญาของคุณ (ข้อ 10) และทำให้คุณสามารถรับฟังความคิดเห็นที่ เสริมสร้างและเติบโตผ่านมันไปได้
ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานสติปัญญาแก่ข้าพระองค์เมื่อข้าพระองค์ให้ข้อเสนอแนะผู้อื่นและขอที่ ข้าพระองค์ยอมรับการเสริมสร้างจากผู้อื่นด้วยเช่นกัน
ลูกา 13:1-30
2. ตอบสนองความทุกข์ยาก
ในเนื้อหาตอนนี้เราจะเห็นพระเยซูทรงตอบสนองต่อความทุกข์ยากในสองวิธีที่แตกต่างกัน การตอบสนองของพระเยซูต่อผู้คนที่กำลังทุกข์ยากคือทรงตอบสนองด้วยความสงสารอยู่เสมอ ดังที่เราเห็นในการรักษาหญิงหลังโกง (ข้อ 10–16) เรายังเห็นการตอบสนองของพระองค์ที่มี ต่อคำถามเกี่ยวกับ ‘ความทุกข์ยาก’ อีกด้วย
‘ปีลาตฆ่าชาวกาลิลีบางคนในขณะที่พวกเขากำลังนมัสการโดยเอาเลือดและเครื่องบูชาของพวกเขามาคละเคล้าด้วยกัน’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) มีบางคนมาถามพระเยซูตรง ๆ ว่า ‘ทำไมพระเจ้าจึงยอมให้มีความทุกข์?’ ‘ความทุกข์ของพวกเขาเป็นผลมาจากบาปหรือไม่?’
แน่นอนพระเยซูทรงสำแดงสติปัญญาที่เกินคาดผ่านการตอบสนองของพระองค์ ความทุกข์ยากมากมายในโลกเกิดจากความบาปของมนุษย์ และเราทุกคนต่างมีส่วนในความผิดบาปนั้นด้วย กระนั้นพระเยซูทรงสำแดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่มีความเชื่อมโยงระหว่างบาปกับความทุกข์โดยอัตโนมัติ พวกเขาไม่ได้รับความทุกข์ทรมานเพราะเป็นคนบาปหนายิ่งกว่าชาวกาลิลีอื่น ๆ ทั้งหมด (ข้อ 1–2) พระเยซูคริสต์ยังทรงชี้ให้เห็นด้วยว่า เมื่อมีภัยธรรมชาติทั้งหลายเกิดขึ้นก็ไม่ได้จำเป็นว่านั่น คือ การลงโทษที่มาจากพระเจ้าเสมอไป (ข้อ 1-5)
ถึงแม้จะเป็นการเหมาะสมที่เราจะตรวจสอบท่าทีภายในเมื่อเกิดความทุกข์ แต่เราต้องระมัดระวังอย่างมาก ในการตัดสินว่าเหตุใดคนอื่นจึงทุกข์ พระเยซูไม่สนใจคำอธิบายทางปรัชญาเกี่ยวกับความทุกข์มากนัก แต่พระองค์สนใจการตอบสนองของเราเมื่อพระองค์เตือนถึงอันตรายที่ตามมา เว้นแต่จะ: ‘กลับใจใหม่…’ (ข้อ 3)
3. การโค่นทิ้งและการปลูก
อุปมาเรื่องต้นมะเดื่อ (ข้อ 6–9) เมล็ดมัสตาร์ดและเชื้อขนม (ข้อ 18–20) มอบสติปัญญาให้แก่เราว่าสิ่งต่าง ๆ จำเริญขึ้นในแผ่นดินพระเจ้าอย่างไร เรามาดูกันว่าเมื่อใดคือช่วงเวลาแห่งการดูแลเอาใจใส่ เมื่อใดควรหยุดภารกิจต่าง ๆ และควรเริ่มแผนการต่าง ๆ
พระเจ้าทรงอดทน ทรงประทานเวลาผู้คนได้มีโอกาสกลับใจให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ แทนที่จะตอบ สนองต่อความปรารถนาที่ต้องการโค่นต้นมะเดื่อทันที ชายคนนั้นกลับให้โอกาสมันอีกครั้งหนึ่ง: ‘ถ้าปีหน้ามันเกิดผลก็ดีไป! แต่ถ้าไม่ ท่านจะโค่นมันทิ้งก็ได้’ (ข้อ 9)
กุญแจสำคัญคือ ‘หาผลที่ต้น’ (ข้อ 6) ตัวอย่างเช่นเมื่อเราดูพันธกิจมากมายในคริสตจักร บางพันธกิจเกิด ผลอย่างมาก บางพันธกิจเกิดผลน้อย การทดลองอย่างหนึ่งคือการตัดสิ่งที่เกิดผลน้อยออกทันที อย่างไรก็ตามพระเยซูทรงสนับสนุนให้เราอดทน ‘ถ้าปีหน้ามันเกิดผลก็ดีไป!’ (ข้อ 9ก) แต่ความอดทนนี้ ไม่ได้คงอยู่ตลอดไป บางครั้งอาจถึงเวลาหยุดงานรับใช้ที่ไม่เกิดผล เพื่อ ‘โค่นมันทิ้ง’ (ข้อ 9ข)
อุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด (ข้อ 18–19) และเชื้อขนมปัง (ข้อ 20) เตือนเราว่าแม้ว่าแผ่นดินของพระเจ้า จะเริ่ม ต้นเล็ก ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะเติบโตอย่างเกิดผลมาก เมื่อเมล็ดพืชได้รับการปลูกมันจะ ‘มันงอกขึ้นเป็นต้นใหญ่ และนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้น’ (ข้อ 19) สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงคุณค่ามหาศาลในการปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งอาณาจักร (รวมถึงการบุกเบิกคริสตจักร) นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นว่าเราต้องอดทนรอเพื่อที่จะเห็นการเกิดผลนี้เป็นจริง
4. การจัดการกับความขัดแย้ง
โดยส่วนตัวแล้วผมพบว่าการเผชิญหน้านั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก พระเยซูทรงมีสติปัญญาในการทราบว่า เมื่อใดควรเผชิญหน้า พระองค์ทรงเปิดเผยความหน้าซื่อใจคดและสองมาตรฐานของผู้ที่กล่าวหาพระองค์ ในการรักษาผู้หญิงที่หลังโกงมาสิบแปดปีเพียงเพราะพระองค์กระทำเช่นนั้นในวันสะบาโต ทรงเตือนพวก เขาถึงความสำคัญของความมีเมตตาต่อผู้อื่นเหนือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ หากนั้นเป็นวิธีการที่พวกเขากระทำตาม ในการดูแลฝูงสัตว์ พวกเขาก็ควรกระทำตามเช่นในการดูแลผู้คนด้วยเช่นกัน (ข้อ 15–16)!
พระเยซูทรงตอบสนองด้วยสติปัญญาที่ล้ำเลิศ อันเป็นที่น่า ‘ชื่นชมยินดี’ ของผู้คนมากมาย (ข้อ 17)
5. เข้าเฝ้าพระเยซู
เมื่อมีคนถามคำถามพระเยซูว่า ‘ท่านเจ้าข้า คนที่รอดนั้นมีจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นหรือ?’ (ข้อ 23) พระองค์ทรงให้คำตอบที่นำไปปฏิบัติใช้ได้จริง ทรงกล่าวว่า ‘จงเพียรพยายามเข้าไปทางประตูที่คับแคบ’ (ข้อ 24) กล่าวอีกนัยหนึ่งคืออย่ามัวแต่สนใจคนอื่น ๆ ก่อน แต่ต้องมั่นใจว่าคุณเองได้เข้าสู่แผ่นดินของ พระเจ้าแล้ว คุณไม่สามารถรู้เกี่ยวกับคนอื่น ๆ ได้ แต่คุณมั่นใจในตัวเองได้
ในคำอุปมานี้ หลายคนพบว่าตัวเองเข้าไปในบ้านไม่ได้ ซึ่งบ้านนั้นหมายถึงแผ่นดินของพระเจ้า เป็นผลมา จากการขาดความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเยซู เจ้าของบ้านซึ่งเป็นตัวแทนของพระเยซูกล่าวกับคนที่ไม่ได้ เปิดประตูให้ถึงสองครั้งว่า ‘เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากไหน’ (ข้อ 25,27) การเป็นส่วนหนึ่งในแผ่นดินของ พระเจ้าคือการได้เข้าเฝ้าและรู้จักองค์พระเยซู
ดูเหมือนว่าคนที่คิดว่าตัวเองจะได้เป็นส่วนหนึ่งกลับไม่เป็นส่วนหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนได้เข้าในแผ่นดิน ของพระเจ้ามามากกว่าที่คาดไว้เสียอีก ‘จะมีคนจากทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ มานั่งร่วมโต๊ะในแผ่นดินของพระเจ้า’ (ข้อ 29) การเข้าเฝ้าและติดตามพระเยซูเป็นสิ่งที่ควรทำแม้ว่าจะรู้สึก ว่าเราเป็นชนกลุ่มน้อยก็ตาม
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อธิษฐานทูลขอสติปัญญาทั้งในการพูดและการตัดสินใจทั้งหมดที่ข้าพระองค์ทำ ทุกอย่างในวันนี้ โปรดเติมพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์และโปรดประทานสติปัญญาของพระเยซูลง มาเหนือข้าพระองค์
เฉลยธรรมบัญญัติ 13:1-14:29
6. ตรวจสอบการเผยพระวจนะ
เราต้องการสติปัญญาในการแยกแยะระหว่างการเผยพระวจนะจริงและเท็จ ‘ผู้เผยพระวจนะ’ ในปัจจุบัน อาจไม่ได้รวมถึงผู้ที่มี ‘ของประทานแห่งการพยากรณ์’ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงใครก็ตามที่เอ่ยถ้อยคำ ‘ในนามของพระเจ้า’ ด้วย เช่น ศิษยาภิบาล นักเทศนา ครู และผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ในทุกกรณีเหล่านี้ เราจำเป็นต้องแยกแยะความจริงออกจากความเท็จให้ได้
หนึ่งในการตรวจสอบผู้เผยพระวจนะว่าจริงหรือไม่ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมปรากฏอยู่ในพระธรรมตอนนี้ แม้ว่าผู้เผยพระวจนะจะสำแดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์มากมาย แต่หากเขากล่าวว่า ‘ให้เราติดตามพระอื่น ๆ กันเถิด’ ผู้คนได้รับคำเตือนว่า: ‘ท่านอย่าเชื่อฟังคำของผู้เผยพระวจนะหรือผู้ฝัน เห็นเหตุการณ์คนนั้น’ (13:2–3) กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพวกเขาต้องตรวจสอบผู้เผยพระวจนะผ่านคำสอนของเขา ไม่ว่าเขาจะนำผู้คนไปหาพระเจ้า หรือห่างจากพระองค์ก็ตาม พระเยซูตรัสว่า ‘พวกท่านจะรู้จักเขา ได้เพราะผลของพวกเขา’ (มัทธิว 7:15–23)
7. ยำเกรงพระเจ้า
คุณเป็นลูกของ ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน’ (เฉลยธรรมบัญญัติ 14:1) และคนของพระเจ้าถูกเรียกให้ เป็นคนบริสุทธิ์ต่อพระองค์ (ข้อ 2ก) คุณถูกเลือกให้เป็น ‘ของล้ำค่าของพระองค์’ (ข้อ 2ข) ภายใต้พันธสัญญาเดิมสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดถึงสิ่งที่กินได้ และไม่สามารถกินได้ ภายใต้พันธสัญญาใหม่พระเยซูทรงประกาศว่าอาหารทุกอย่างสะอาดแล้ว (มาระโก 7:19)
ภายใต้ทั้งพันธสัญญาทั้งเดิมและใหม่วิธีหนึ่งที่คุณสามารถ ‘ยำเกรง’ พระเจ้าได้คือ ผ่านทางการถวาย (เฉลยธรรมบัญญัติ 14:22–23) การให้ถือเป็นพรอย่างยิ่ง พระเจ้าเทพระพรมาสู่คุณเพื่อ ให้คุณอวยพรผู้อื่นได้ และเพื่อให้คุณสามารถเป็นพรกับผู้อื่นต่อไปได้ด้วย (ข้อ 29ค) และพระเจ้าทรง สัญญาว่าจะเทพระพรมาเหนือกิจการงานของเรา (ข้อ 29) นิมิตของพระเจ้าที่มีต่อประชาชนของพระองค์ คือ ให้เป็นสังคมที่มีจุดยืนในการให้ซึ่งกันและกัน ดังที่เมื่อเราได้ใคร่ครวญพระธรรมสุภาษิตในวันนี้ การยำเกรงพระเจ้าเป็น ‘ที่เริ่มต้นของสติปัญญา’ (สุภาษิต 9:10) และ ‘ถ้าเจ้ามีปัญญา เจ้าก็มีปัญญาเพื่อตนเอง’ (ข้อ 12)
ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณที่ข้าพระองค์เป็นสมบัติล้ำค่าของพระองค์ โปรดช่วยข้าพระองค์ให้จำเริญขึ้นในสติปัญญาทุก ๆ วัน
Pippa Adds
เพราะไม่ได้มีวุฒิทางการศึกษาที่มากมายอะไร ฉันเลยรู้สึกสบายใจจากข้อพระคำเหล่านี้มาก
‘ใครเป็นคนรู้น้อย ให้เขาหันเข้ามาที่นี่!... จงทิ้งความรู้น้อยเสีย และมีชีวิตอยู่ ดำเนินในทางของความรอบรู้นั้นเถิด.. ความยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นที่เริ่มต้นของปัญญา’ (สดุดี 9:4,6,10)
References
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)Acerca de este Plan

การเข้าใจพระคัมภีร์อาจเป็นเรื่องยาก ทำไมไม่ลองอ่านหรือฟังพร้อมกับคำอธิบายทุกวัน จากนิคกี้และพิพพา กัมเบล -ผู้บุกเบิกอัลฟ่า เริ่มวันนี้เลย!
More
Planes relacionados

La Adoración Como Un Estilo De Vida

El Arte Perdido Del Servicio

Esperanza Que No Desespera

Vivir Una Vida Que Importe

Un Matrimonio Que Da Fruto

¡Hola Rival! Un Plan De Juego Bíblico Para Deportistas Cristianos.

“Cuando EL ALMA DESPIERTA”

Seis Pasos Para Una Vida De Oración Más Comprometida

Agotamiento Pastoral
