พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2023 พร้อมด้วยคำอธิบายจาก นิคกี้และพิพพา กัมเบลMuestra

สิ่งเดียวที่จำเป็น
ผมได้มีประสบการณ์กับพระเยซูครั้งแรกแบบเป็นการส่วนตัวในปี 1974 หลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้ยินการบรรยายหนึ่งโดยชายอายุแปดสิบปีซึ่งหลายปีต่อมาผมก็ยังจำได้แม่น ในหัวข้อ ‘ห้า “ในสิ่งเดียว”' (‘The Five "One Things”’) คำบรรยายของเขาเน้นถึงเหตุการณ์สำคัญ 5 เหตุการณ์ที่แตกออกมาจากคำว่า ‘สิ่งเดียว’ ที่ปรากฏในพระคัมภีร์ (สดุดี 27:4, มาระโก 10:21, ลูกา 10:42, ยอห์น 9:25, ฟิลิปปี 3:13) โดยแต่ละตอนล้วนกล่าวถึงลำดับความสำคัญของพวกเรา เหตุการณ์หนึ่งในห้าเหตุการณ์นั้นอยู่ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่สำหรับวันนี้ด้วยเช่นกัน (ลูกา 10:42) ผมรู้สึกเห็นอกเห็นใจมารธาเป็นอย่างมาก พระเยซูตรัสกับเธอว่า ‘เธอกระวนกระวายและร้อนใจหลายอย่างเหลือเกิน’ (ข้อ 41) มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในชีวิต แต่พระเยซูตรัสว่า ‘สิ่งที่จำเป็นนั้นมีเพียงสิ่งเดียว’ (ข้อ 42) ซึ่งนางมารีย์ได้ให้ความสำคัญอย่างถูกต้องสดุดี 41:7-13
ความสำคัญของการทรงสถิตของพระเจ้า
คุณสามารถรับรู้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้าและความพอพระทัยของพระองค์ท่ามกลางความท้าทายทั้งหมดของชีวิต
ดาวิดมีความกังวลและว้าวุ่นใจ เขามีศัตรูเช่นเดียวกับพระเยซู พระองค์ตรัสว่า ‘แม้แต่เพื่อนสนิทผู้ที่ข้าพเจ้าไว้วางใจ ผู้รับประทานอาหารของข้าพเจ้าก็ยกส้นเท้าใส่ข้าพเจ้า’ (ข้อ 9; ดูยอห์น 13:18 ด้วย)
จงมั่นใจเหมือนดาวิดในชัยชนะแห่งความดีที่อยู่เหนือความชั่วร้าย (สดุดี 41:11ข) ทราบไว้เถิดว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยคุณ (ข้อ 11ก) ความปรารถนาอันท่วมท้นของดาวิดคือการที่พระเจ้าจะทรงตั้งเขาไว้ต่อพระพักตร์พระองค์เป็นนิตย์ (ข้อ 12) ให้สิ่งนี้มีความสำคัญสูงสุดในชีวิตคุณ นี่คือสิ่งที่คุณถูกสร้างขึ้นมา การทรงสถิตของพระเจ้าตอบสนองความต้องการส่วนลึกที่สุดของคุณ
ข้าแต่พระบิดา โปรดช่วยข้าพระองค์ในวันนี้ให้เปรมปรีดิ์ไปกับความพอพระทัยและการทรงสถิตของพระองค์ท่ามกลางความท้าทายและความยากลำบากในชีวิต
ลูกา 10:25-11:4
ลำดับความสำคัญของพระเยซู
ลำดับความสำคัญของคุณคืออะไร? การใช้เวลากับพระเยซูเป็นสิ่งที่คุณใช้ความพยายามและบีบลงในตารางงานอันยุ่งเหยิงของคุณหรือไม่? หรือคุณได้กำหนดการใช้เวลากับพระองค์มาเป็นที่หนึ่ง?
มีนักศาสนศาสตร์คนหนึ่งทึ่เป็นผู้เชี่ยวชาญในบทบัญญัติ ได้ถามคำถามที่สำคัญมากกับพระเยซู ซึ่งเกี่ยวกับหนทางสู่ชีวิตนิรันดร์
พระเยซูทรงให้แนวทางกับเราและเป็นวิธีหนึ่งที่เราได้ทำตามในการสนทนากลุ่มย่อยในหลักสูตรอัลฟ่า พระเยซูถามคำถามว่า ‘ท่านอ่านแล้วเข้าใจอย่างไร?' (10: 26,36)
ผู้เชี่ยวชาญบทบัญญัติคนนั้นให้คำตอบที่ถูกต้องว่า ‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่าน ด้วยสุดจิตของท่าน ด้วยสุดกำลังของท่าน และด้วยสุดความคิดของท่าน’ (ข้อ 27) สิ่งนี้ควรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของคุณและลำดับความสำคัญต่อไปของคุณคือการรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
จากนั้นเขาก็ถามคำถามซึ่งแสดงว่าเขาหาช่องโหว่ (ข้อ 29) โดยเขาต้องการให้คำว่า ‘เพื่อนบ้าน' มีความหมายแค่กลุ่มคนในวงจำกัด ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน ญาติ สมาชิกในกลุ่มเดียวกัน และชุมชนทางความเชื่อ
พระเยซูทรงตรัสตอบเขาด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับความอธรรม มีชายคนหนึ่งกำลังเดินทางบนถนนที่มีชื่อเสียงเรื่องความอันตรายแห่งหนึ่ง ระยะทางยาว 17 ไมล์ และเป็นทางลาดลงด้วยความสูงถึง 3,000 ฟุต จากกรุงเยรูซาเล็มถึงเมืองเยรีโค เขากำลังขนสินค้าและของมีค่า และได้กลายเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของความโหดร้ายนี้ เขาถูกปล้น ถูกแย่งชิง ถูกทุบตีและถูกทิ้งให้เกือบตาย (ข้อ 30)
พวกเหล่าผู้นำก็เดินผ่านมา เริ่มจากปุโรหิต (ซึ่งอาจเพิ่งเสร็จกิจในพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม) และตามนั้นคนเลวี (ผู้ช่วยรับผิดชอบศาสนพิธีและการนมัสการ) พวกเขาทั้งคู่ต่าง ‘เห็น' เหยื่อคนนั้น (ข้อ 31–32) แต่ทั้งคู่กลับไม่หยุดช่วย มีสาเหตุที่เป็นไปได้อย่างน้อยสามประการที่ทำให้พวกเขาและเราไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย:
-
เรายุ่งจนเกินไป
อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขากำลังรีบ พวกเขาไม่ต้องการมีส่วนร่วมกับสิ่งซึ่งใช้เวลานาน -
เราไม่ต้องการให้ตนเองแปดเปื้อนมลทิน
การสัมผัสศพจะทำให้เป็นมลทินไปเจ็ดวัน (กันดารวิถี 19:11) ในช่วงเวลานั้นพวกเขาจะเข้าพระวิหารไม่ได้ (เลวีนิติ 21:1) ซึ่งอาจจะทำให้พวกเขาหมดหน้าที่ที่พระวิหาร -
เราไม่อยากเสี่ยง
เห็นได้ชัดว่ามีโจรอยู่รอบ ๆ นี่อาจเป็นตัวล่อในการถูกซุ่มโจมตีก็เป็นได้
ผู้ที่กำลังฟังพระเยซูในขณะนั้นคงจะตกตะลึงกับพระเอกของเรื่องนี้ในท้ายที่สุด พระเยซูทรงเลือกบุคคลที่พวกเขาโปรดปรานน้อยที่สุด นั่นคือชาวสะมาเรียที่เป็นคนเผ่าที่ชาวยิวเกลียดชังทั้งทางสังคม การเมืองและความเชื่อ นี่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลต่างเชื้อชาติและความเชื่อที่สำแดงความเมตตากรุณา (ลูกา 10:33) ชาวสะมาเรียยื่นมือเข้าช่วย แม้มันทำให้เขาเสียทั้งเวลา เสียทั้งพลังงานและเงินทอง (ข้อ 34–35)
เรื่องราวที่พระเยซูทรงเล่าให้ฟังแสดงให้เห็นว่าผู้เชี่ยวชาญในบทบัญญัติคนนั้นถามคำถามที่ผิด (ข้อ 29) คำถามที่ถูกต้องไม่ใช่ ‘ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า?’ แต่ ‘ข้าพเจ้าจะเป็นเพื่อนบ้านกับใครได้บ้าง?’ พระเยซูทรงสอนให้เห็นถึงความรักที่ไม่มีเงื่อนไขและไม่มีขีดจำกัด พระเยซูเสด็จมาเพื่อทำลายข้อจำกัดทั้งหมด เหล่ามนุษย์ชาติทั้งหมดคือเพื่อนบ้านของเรา
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงตรัสไว้ในปาฐกถาเนื่องในวันคริสต์มาส ว่า ‘สำหรับข้าพเจ้าในฐานะคริสเตียนเมื่อพระเยซูทรงตอบคำถามที่ว่า “ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า?" ความหมายที่พระเยซูบอกไว้นั้นชัดเจนแล้ว ทุกคนคือเพื่อนบ้านของเราไม่ว่าจะเชื้อชาติไหน ความเชื่อใด หรือสีผิวอะไรก็ตาม’
‘[เขา] เดินเลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง’ (ข้อ 31ข) เป็นการเปรียบเปรยที่ชวนให้นึกถึงว่า มีคนที่เจ็บป่วยทุกข์ยากมากมายรอบตัวเรา หากคุณเห็นแล้วอย่าเป็นเหมือนปุโรหิตและคนเลวีในคำอุปมาของพระเยซู ที่เดินเลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง แต่ชาวสะมาเรียนั้น ‘สงสาร’ (ข้อ 33ข) เขาดูแลชายที่บาดเจ็บคนนั้น (ข้อ 34ข) และให้เงิน (ข้อ 35) พระเยซูตรัสในตอนท้ายของเรื่องนี้ว่า ‘ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้น’ (ข้อ 37ข)
ให้เราแสวงหาผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือและมีส่วนในการช่วยเหลือพวกเขา คุณจะมีหัวใจเหมือนพระเจ้า คือตอนที่คุณช่วยคนที่ถูกทำร้าย ดึงคนที่ล้มลงและฟื้นฟูคนที่ใจแตกสลาย พยายามทำให้สิ่งนี้มีความสำคัญสูงสุดในชีวิตของคุณ อย่างไรก็ตามเรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของคุณในการทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้
นางมารีย์จัดลำดับความสำคัญของเธอได้ถูกต้อง เธอ ‘นั่งอยู่ใกล้พระบาทของพระเยซูคอยฟังถ้อยคำของพระองค์' (ข้อ 39) เธอตระหนักว่าแม้จะมีเรื่องกวนใจและความกังวลมากมาย แต่ก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการนั่งอยู่ใกล้พระบาทของพระเยซูและฟังพระองค์ สิ่งนี้ควรเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของคุณด้วยเช่นกัน
ส่วนมารธานั้นยุ่งเกินกว่าจะมีความสุขในการใช้เวลากับพระเยซูเมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จมาที่บ้านของเธอ การไม่ใช้เวลาร่วมกับพระเยซูถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตฝ่ายวิญญาณของคุณ ไม่เคยมีใครพูดในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตว่า ‘ฉันหวังว่าฉันจะมีเวลาอยู่ที่ออฟฟิศนานกว่านี้ซักหน่อย’ หลายคนเสียใจที่ไม่ได้ใช้เวลามากขึ้นกับความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดของพวกเขา
คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เรื่องราวต่อไป ลูกาได้บรรยายเกี่ยวกับคำสอนของพระเยซูที่สอนให้สาวกอธิษฐานวิงวอน เราเห็นว่าพระเยซูเป็นแบบอย่างความสำคัญของการใช้เวลากับพระเจ้าในการอธิษฐานและความใจจดใจจ่อที่เป็นตัวจุดประกายให้กับบรรดาสาวกของพระองค์ (11:1) นั่นคือบริบทของพระองค์ที่จะสอนพวกเขาถึง ‘คำอธิษฐานของพระเจ้า'
คำอธิษฐานเริ่มต้นด้วยความใกล้ชิดสนิทสนมกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ด้วยการอธิษฐานเอ่ยพระนาม ‘พระบิดา' แต่ความสัมพันธ์กับพระเจ้าควรส่งผลต่อชีวิตที่เหลือของคุณเช่นกัน ให้เราอธิษฐานเผื่อการจัดเตรียมประจำวัน (ข้อ 3) โดยอธิษฐานว่า ‘ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่’ (ข้อ 2) และระลึกถึงบาปที่คุณจำเป็นต้องให้ยกโทษให้ผู้อื่นหรือได้รับการยกโทษ (ข้อ 4)
มีหลายวิธีในการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับพระเยซู ไม่ว่าคุณจะทำด้วยวิธีใดก็ตาม จำเป็นต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งในชีวิตอยู่เสมอ
ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้มีความสุขกับการทรงสถิตของพระองค์ ขอให้ข้าพระองค์มีความรักและความกล้าหาญที่จะดึงคนที่ล้มลงขึ้นมา ฟื้นฟูใจที่แตกสลาย และช่วยเหลือผู้ที่ถูกทำร้ายมา
เฉลยธรรมบัญญัติ 2:24-4:14
ลำดับความสำคัญของความสัมพันธ์
โมเสสได้บันทึกว่าพระเจ้าทรงประทานแผ่นดินให้พวกเขาอย่างไรและยังได้ประทานพระบัญญัติแก่พวกเขาอีกด้วย แต่สิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับประชากรของพระเจ้าไม่ใช่แผ่นดินหรือธรรมบัญญัติ แต่เป็นความรักของพระเจ้า: ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราสถิตใกล้เรา ในทุกสิ่งที่เราร้องทูลต่อพระองค์’ (4:7)
นอกจากนี้ดูเหมือนว่าจะมีความเชื่อมโยงกันอย่างเจาะจงระหว่างวิธีที่ประชาชนของพระเจ้าได้รับการชี้แนะให้ดำเนินชีวิตกับผลกระทบที่พวกเขามีต่อชนชาติอื่น ๆ (ข้อ 6) พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้พวกเขาเป็นแบบอย่างที่เห็นได้ชัดเจนทั้งในด้านพระลักษณะของพระเจ้าสูงสุดที่พวกเขาเคารพบูชา และด้านคุณภาพของความชอบธรรมทางสังคมที่เป็นตัวเป็นตนในชุมชนของพวกเขา กล่าวอีกนัยหนึ่งการทำตามตัวอย่างที่ดีของชาวสะมาเรียมีผลต่อการประกาศข่าวประเสริฐ
ธรรมบัญญัติเป็นการแสดงออกถึงความรักและความปรารถนาของพระเจ้าที่จะใกล้ชิดกับประชาชนของพระองค์ นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาได้รับการกระตุ้นเตือนเสมอว่า ‘แต่จงระวังตัว และรักษาจิตวิญญาณของตนให้ดี เกรงว่าท่านจะลืมสิ่งที่นัยน์ตาได้เห็นนั้น และเกรงว่าสิ่งเหล่านั้นจะสูญไปจากใจของท่านตลอดชีวิตของท่าน จงทำให้ลูกและหลานของท่านทราบเรื่องเหล่านี้’ (ข้อ 9) ธรรมบัญญัตินั้นเราได้รับในบริบทของพันธสัญญา (ข้อ 13) เริ่มต้นด้วยความมุ่งมั่นของพระเจ้าที่มีต่อเราและความรักของพระองค์ที่มีต่อเรา
ในทำนองเดียวกันพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เริ่มต้นด้วยพันธสัญญาของพระเจ้าผ่านการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูและผ่านความรักของพระเจ้าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์หลั่งไหลเข้ามาในหัวใจของคุณ คุณสามารถเข้าถึงการทรงสถิตของพระเจ้าได้อย่างถาวรนิรันดร์ (เอเฟซัส 2:18)
ข้าแต่พระบิดา โปรดช่วยข้าพระองค์ให้ติดสนิทกับพระองค์ ให้อยู่ในการทรงสถิตกับพระองค์ นั่งลงใกล้พระบาทของพระเยซู ฟังคำสอนและนำออกไปปฏิบัติต่อผู้อื่น
Pippa Adds
ลูกา 10:38–42
ฉันเห็นใจทั้งนางมารีย์และนางมารธา ฉันเข้าใจความรู้สึกของการพยายามเตรียมอะไรบางอย่างในขณะที่ผู้คนกำลังนั่ง ‘จดจ่ออยู่กับชีวิตฝ่ายวิญญาณ’ อยู่รอบ ๆ และไม่ทำอะไรเลยทั้งที่ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ แต่ฉันก็มีประสบการณ์หลายครั้งเช่นกันเมื่อฉันได้นั่งอยู่เฉย ๆ ในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังวิ่งไปรอบ ๆ ทำงานอย่างหนัก ฉันรู้สึกประทับใจกับคำพูดของ ไบรอัน ฮิวส์ตัน ที่กล่าวว่า ‘ภาระและการพักสงบ’ ทั้งสองอย่างมีความจำเป็นในชีวิต
References
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)Acerca de este Plan

การเข้าใจพระคัมภีร์อาจเป็นเรื่องยาก ทำไมไม่ลองอ่านหรือฟังพร้อมกับคำอธิบายทุกวัน จากนิคกี้และพิพพา กัมเบล -ผู้บุกเบิกอัลฟ่า เริ่มวันนี้เลย!
More
Planes relacionados

La Adoración Como Un Estilo De Vida

El Arte Perdido Del Servicio

Esperanza Que No Desespera

Vivir Una Vida Que Importe

Un Matrimonio Que Da Fruto

¡Hola Rival! Un Plan De Juego Bíblico Para Deportistas Cristianos.

“Cuando EL ALMA DESPIERTA”

Seis Pasos Para Una Vida De Oración Más Comprometida

Agotamiento Pastoral
