พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2023 พร้อมด้วยคำอธิบายจาก นิคกี้และพิพพา กัมเบลUkázka

ไม่มีสีเทาเฉดต่าง ๆ
ย้อนกลับไปในปี คศ. 1960 วงดนตรีที่ชื่อ เดอะ มังกี้ส์ ร้องเพลงเกี่ยวกับการที่ดูเหมือนไม่มีใครเชื่อในจริยธรรมที่แท้จริงอีกต่อไป ในเพลงที่ชื่อว่า *Shades of Gray – สีเทาเฉดต่าง ๆ* พวกเขาร้องว่า ||เมื่อโลกและฉันนั้นยังเยาว์วัย ||แค่เมื่อวานนี้เอง ||ชีวิตเคยเป็นแค่เรื่องง่าย ๆ… ||ตอนนั้นมันช่างง่ายที่จะแยกแยะถูกผิด… ||แต่วันนี้ไม่มีขาวมีดำ ||มีแค่เพียง*สีเทาเฉดต่าง ๆ* ตอนนี้สำนวน *‘สีเทาเฉดต่าง ๆ’* เกี่ยวข้องกับหนังสือและภาพยนตร์ที่มีชื่อดังกล่าว ซึ่งมีชื่อฉาวโฉ่และเป็นที่ถกเถียงกัน ปัจจุบันหลายคนไม่เชื่ออีกต่อไปว่า มีสิ่งที่เป็นความถูก หรือผิดอย่างแท้จริง ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง และความแตกต่างแบบขาวกับดำไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับไว้ในสังคมที่สัมพัทธนิยม (ความเชื่อว่าความจริงไม่เที่ยงแท้เสมอ) เป็นเรื่องปกติ ทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงกัน ขึ้นอยู่กับว่ามากในระดับไหน ในฐานะสาวกพระเยซู เราไม่สามารถยอมให้กับแนวคิดแบบสัมพัทธนิยมเหล่านี้ได้ เราควรฟังเสียงเผยพระวจนะของพระคัมภีร์ ซึ่งมักจะมีร่องรอยความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของทางเลือกทางจริยธรรมแบบเร่งด่วน กับเส้นทางที่แยกออกไปท่ามกลางปัญหาและสถานการณ์ที่ซับซ้อน ความจริงของความถูกผิดนั้นชัดเจนมากในพระธรรมในวันนี้ และมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างสองสิ่งนี้สดุดี 71:9-18
จบลงด้วยดี กับ พินาศด้วยความอับอาย
มี ‘สีเทา’ แค่ประเภทเดียวที่ได้รับการยอมรับในพระคัมภีร์ นั่นคือ ‘ผมหงอกเป็นสีเทา’ ซึ่งถูกมองว่าเป็น ‘มงกุฎแห่งศักดิ์ศรี...พบได้ก็แต่ในผู้ดำเนินชีวิตด้วยความชอบธรรม’ (สุภาษิต 16:31) โดยส่วนตัวแล้วผมพบว่า นี่เป็นสิ่งที่หนุนใจมาก!
ผู้เขียนสดุดีตัดสินใจที่จะจบดี เขาเขียนว่า ‘เมื่อถึงวัยชรา ขออย่าทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ทิ้งเสีย ขออย่าทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ เมื่อข้าพระองค์หมดแรง… แม้ข้าพระองค์จะถึงวัยชราและมีผมหงอกก็ตาม ข้าแต่พระเจ้า ขออย่าทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ จนกว่าข้าพระองค์จะประกาศถึงฤทธานุภาพของพระองค์แก่คนรุ่นหลัง และประกาศพระอานุภาพของพระองค์แก่ผู้ที่จะเกิดมา’ (สดุดี 71:9,18)
สิ่งนี้ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับชะตากรรมของศัตรูที่เขาหวังว่าจะ ‘อับอายและถูกล้างผลาญ’ (ข้อ 13) จากมุมมองตามพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ นี่อาจไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องที่จะอธิษฐานเผื่อศัตรู อย่างไรก็ตาม นี่เป็นความจริงว่าบางคนดูเหมือนจะ ‘อับอายและถูกล้างผลาญ’ เป็นทางน่าเศร้าซึ่งชีวิตของบางคนต้องจบลงแบบนั้น
ผู้เขียนสดุดีเปรียบเทียบตัวเองกับผู้ที่อับอายและถูกล้างผลาญ เขาเขียนว่า ‘แต่ข้าพระองค์…’ (ข้อ 14) เขาต้องการที่จะใกล้ชิดพระเจ้าต่อไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต ที่จริงเขาอยากจะจบชีวิตลงด้วยการเกิดผลยิ่งกว่าตอนเริ่มต้น เขากล่าวว่า ‘และจะสรรเสริญพระองค์มากยิ่ง ๆ ขึ้น’ (ข้อ 14)
คนทุกรุ่นมีความรับผิดชอบที่ส่งไม้ผลัด ‘แก่คนรุ่นหลัง’ (ข้อ 18) การวางแผนผู้สืบทอดคือส่วนสำคัญของการจบลงด้วยดี นี่ถูกพูดถึงว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะติดตามเปาโล และอบรมทิโมธี เลี้ยงดูโดยมารีย์ และอุปถัมภ์โดยเฟบี
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้จบลงด้วยดี และประกาศฤทธานุภาพของพระองค์ต่อคนรุ่นถัดไป ขอให้ปากของข้าพระองค์บอกเล่าถึงกิจการอันชอบธรรมของพระองค์ และประกาศถึงอานุภาพของพระองค์
กิจการอัครทูต 4:23-5:11
เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ กับ ซาตานควบคุมใจ
คริสตจักรไม่ควรน่าเบื่อ ไม่มีใครเบื่อเลยในคริสตจักรยุคแรก คุณไม่เคยรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น มีความรู้สึกอันแรงกล้าถึงการทรงสถิตของพระเจ้า บางคนรักมัน บางคนตกใจกลัว
อีกครั้งที่เราเห็นความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
อันดับแรก เราได้เห็นผลของการเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์:
1. กล้าหาญ
เปโตรกับยอห์นไม่ได้เตะถ่วงออกไปด้วยภัยคุกคามที่เกิดขึ้นกับพวกเขา (4:17,21) แต่กลับ ‘ร่วมใจกันเปล่งเสียงทูลพระเจ้าว่า’ (ข้อ 24) พวกเขาอธิษฐานว่า ‘บัดนี้ พระองค์เจ้าข้า ขอทอดพระเนตรการข่มขู่ของพวกเขา และทรงให้บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์กล่าวถ้อยคำของพระองค์ด้วยใจกล้า’ (ข้อ 29) ‘เมื่อเขาทั้งหลายอธิษฐานแล้ว ที่ซึ่งพวกเขาประชุมอยู่นั้นก็หวั่นไหว แล้วพวกเขาเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และกล่าวพระวจนะของพระเจ้าด้วยใจกล้าหาญ’ (ข้อ 31)
2. เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
‘คนทั้งหลายที่เชื่อนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน’ (ข้อ 32ก) พวกเขาเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์องค์เดียวกัน เครื่องหมายของการเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ คือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
3. ใจที่กว้างขวาง พวกเขามีท่าทีที่ปล่อยวางเรื่องทรัพย์สิน ‘ไม่มีใครอ้างว่าสิ่งของที่ตนมีอยู่นั้นเป็นของตนเอง แต่ทั้งหมดเป็นของส่วนกลาง...เพราะว่าในพวกเขาไม่มีใครขัดสน’ (ข้อ 32,34) ผู้ที่สามารถทำได้ ช่วยสนับสนุนคนที่ขัดสน (ข้อ 34–35)
4. ฤทธานุภาพ
พวกเขาอธิษฐานว่า ‘ในเวลาที่พระองค์ยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ออกรักษาโรค และโปรดให้หมายสำคัญกับการอัศจรรย์เกิดขึ้น โดยพระนามของพระเยซูผู้รับใช้บริสุทธิ์ของพระองค์’ (ข้อ 30) คำอธิษฐานของพวกเขาได้รับคำตอบ ‘ด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่บรรดาอัครทูตก็เป็นพยานถึงการคืนพระชนม์ของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า‘ (ข้อ 33ก)
5. พระคุณ
‘…และพระคุณอันยิ่งใหญ่อยู่กับพวกเขาทุกคน’ (ข้อ 33ข) ประสบการณ์เรื่องพระคุณพระเจ้าควรทำให้เกิดชุมชนแห่งพระคุณ และความมีน้ำใจ
ด้วยการขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง ในครึ่งหลังของพระธรรมในวันนี้ เราเห็นถึงผลลัพธ์ของการที่ถูกซาตานครอบงำจิตใจ เปโตรใช้ภาษาที่รุนแรงเมื่อเขากล่าวว่า ‘อานาเนีย ทำไมซาตานจึงควบคุมใจของเจ้า‘ (5:3)
ไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่อานาเนียและสัปฟีราต้องบริจาคที่ดินหรือเงินทองของพวกเขา ‘เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้าไม่ใช่หรือ? เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในสิทธิอำนาจของเจ้าไม่ใช่หรือ?’ (ข้อ 4) พวกเขาไม่ได้ถูกตำหนิเรื่องของการขาดความใจกว้าง
กลับกัน หลักฐานว่าซาตานครอบงำจิตใจของพวกเขาไม่ใช่แค่เพียงแต่พวกเขาโกหก (ซึ่งอาจเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นเอง) แต่ยังเป็นเรื่องที่พวกเขาคบคิดกันโกหก เปโตรกล่าวกับอานาเนียว่า ‘โกหกต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์’ (ข้อ 3) และเขาพูดกับสัปฟีราว่า ‘ทำไมเจ้าสองคนถึงพร้อมใจกันทดลองพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเล่า?’ (ข้อ 9) การสมรู้ร่วมคิดนี้ได้รับการไตร่ตรอง และเตรียมการไว้ล่วงหน้า
พระเจ้าประทาน ‘ถ้อยคำแห่งความรู้’ ให้แก่เปโตร (ข้อ 3–4) ซึ่งเปิดโปงความบาปของพวกเขา ความยำเกรงพระเจ้าก็มาเหนือผู้คน (ข้อ 5,11) ความเกรงกลัวประเภทนี้ไม่ใช่เกรงกลัวต่อมนุษย์หรือเกรงกลัวแบบทาสกลัวนาย แต่เป็นความเกรงกลัวอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขา ‘เคารพยำเกรงพระเจ้า พวกเขารู้ว่าไม่ควรล้อเล่นกับพระเจ้า’ (ข้อ 11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
นี่ไม่ใช่เรื่องเบา ๆ อ่านง่าย ๆ และเราหลายคนก็ปล้ำสู้กับอธิปไตยของการพิพากษาของพระเจ้าในพระธรรมตอนนี้ สุดท้ายแล้ว มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบความลับในหัวใจของเรา และเราจำเป็นต้องวางใจในการพิพากษาของพระองค์ว่ายุติธรรมและเที่ยงธรรม แม้ว่าจะเตือนเราถึงความยิ่งใหญ่ของการทรงสถิตของพระเจ้าในท่ามกลางเรา ความรู้สึกของการประทับของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่มาก จนผู้คนเกรงกลัวว่าบาปของตนอาจถูกเปิดโปง แต่การทรงสถิตของพระเจ้าและพระวิญญาณบริสุทธิ์ครั้งนี้ทำให้เกิดการกลับใจเชื่อ การเยียวยารักษา หมายสำคัญ และการอัศจรรย์ที่ไม่ธรรมดาด้วย
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเติมเต็มเราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ขอให้เราเป็นคริสตจักรซึ่งเป็นที่รู้จักโดยการประกาศอย่างกล้าหาญ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความใจกว้าง ฤทธานุภาพ และพระคุณ
2 ซามูเอล 13:1-39
ความรัก กับ ความเกลียดชัง
ในพระธรรมตอนนี้ เราเห็นอารมณ์ที่ขัดแย้งกันอย่างแรงกล้า อัมโนน ‘รักเธอ’ (ข้อ 1) ท่านตรัสว่า ‘เรารักทามาร์น้องหญิงของอับซาโลมน้องชายของเรา’ (ข้อ 4) ดาวิดมีภรรยามากมายและมีลูกหลายคน เด็กผู้ชายอาจถูกแยกออกจากเด็กผู้หญิงหลังจากอายุได้ห้าหรือหกขวบ อาจไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกันเหมือนอย่างที่ครอบครัวทั่วไปรู้สึกในปัจจุบัน
อัมโนนวางแผนจะข่มขืนทามาร์ ผู้ที่อ้อนวอนเขาว่า ‘อย่าทำการโฉดเขลาอย่างนี้เลย’ (ข้อ 12) เธอทำแม้แต่เสนอให้แต่งงานกัน (ข้อ 13) กฎหมายไม่อนุญาตให้แต่งงานกับน้องสาวร่วมพ่อ เป็นไปได้ว่า สิ่งนี้ยังไม่ได้ถูกบังคับใช้ในเวลานั้น เป็นไปได้ว่าทามาร์กำลังยึดฟางเส้นสุดท้ายไว้ แต่อัมโนน ‘ไม่ยอมฟังเสียงเธอ และเพราะท่านมีกำลังมากกว่า จึงทรงบังคับและนอนร่วมกับเธอ’ (ข้อ 14)
พระคัมภีร์ไม่ได้ละเลยประเด็นเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ การข่มขืนเกิดขึ้นเสมอ และยังคงเป็นอาชญากรรมที่น่ากลัว ทามาร์อธิบายว่ามันเป็นสิ่งที่ ‘โฉดเขลา’ (ข้อ 12) นี่เป็นการกระทำของ ‘คนโฉดเขลา’ (ข้อ 13) นี่นำไปสู่การ ‘แยกตัวออก’ (ข้อ 20) และเป็นการกระทำที่ ‘น่าอับอาย’ (ข้อ 21)
เราเห็นแวบหนึ่งของความเสียหายร้ายแรงที่การล่วงละเมิดทางเพศส่งผลกับเหยื่อ ‘ทามาร์ก็เอาขี้เถ้าใส่ที่ศีรษะของเธอและฉีกเสื้อคลุมยาวมีแขนที่เธอสวมอยู่นั้นเสีย เอามือกุมศีรษะร้องไห้เสียงดังเดินไป’ (ข้อ 19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เธอกลายเป็นคนที่ ‘ขมขื่นและเดียวดาย’ (ข้อ 20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ทันใดนั้นปรากฏว่า ‘ต่อมาอัมโนนก็ทรงชังเธอด้วยความเกลียดชังที่สุด ความเกลียดชังที่ท่านเกลียดชังเธอก็มากยิ่งกว่าความรักซึ่งท่านเคยรักเธอ’ (ข้อ 15) นี่นำไปสู่โศกนาฏกรรมในภายหลังต่อดาวิดและครอบครัวของตน ความรุนแรงขยายออกไป อัมโนนถูกสังหาร และอับซาโลมหนีไป แยกตัวออกไปจากดาวิด (ข้อ 23–39)
บางทีนี่อาจถูกต้องกว่าที่จะพูดว่า อัมโนนนั้น ‘หลงใหล’ ทามาร์ เขาอาจเคย ‘หลงรัก’ เธอ แต่เขาไม่ได้รักเธอแน่ ๆ นี่เป็นเรื่องไม่ธรรมดา แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงสำหรับธรรมชาติและประสบการณ์ของมนุษย์ที่จะลดลง แต่ความหลงใหลนั้นสามารถเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังได้อย่างรวดเร็ว ความรักของอัมโนนไม่ใช่ความรักแท้อย่างแน่นอน
‘ความรักนั้นก็อดทนนานและมีใจปรานี ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีในความอธรรม แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ความรักทนได้ทุกอย่าง เชื่ออยู่เสมอ มีความหวังและความทรหดอดทนอยู่เสมอ' (1 โครินธ์ 13:4–7)
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงปลดปล่อยเราจากความเกลียดชัง ขอให้เราเต็มเปี่ยมด้วยความรักอันเป็นผลมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่รักแบบผิวเผิน
Pippa Adds
2 ซามูเอล 13:1–39
นี่เป็นจุดเริ่มต้อนของความแตกร้าวในครอบครัว
ดูเหมือนมีการตัดสินใจแย่ ๆ เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น โยนาดับผู้ซึ่งเป็นเพื่อนของอัมโนนให้คำแนะนำที่เลวร้าย (ข้อ 5) หากดาวิดลงโทษอัมโนนที่ข่มขืนทามาร์ น้องสาวของตน นี่อาจหยุดอับซาโลมให้จัดการปัญหาแบบศาลเตี้ยได้
โยนาดับ ผู้น่าจะละอายใจ เป็นครึ่งหนึ่งของปัญหา เขารู้ชัดถึงการแสดงเจตนาของอับซาโลมว่าจะสังหารอัมโนน กระนั้นเขาก็ไม่ได้เตือนดาวิด เขาแค่มาบอกดาวิดภายหลัง เขาเป็นเพื่อนที่แย่สำหรับทุกคน
บางครั้งเป็นเรื่องยากที่จะบอกความจริงกับคนอื่น มากกว่าที่จะพูดในสิ่งที่พวกเขาอยากฟัง แต่เป็นเรื่องสำคัญที่จะให้คำแนะนำที่ถูกต้องแม้ว่าเราเสี่ยงที่จะเสียมิตรภาพของเราไป
References
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)O tomto plánu

การเข้าใจพระคัมภีร์อาจเป็นเรื่องยาก ทำไมไม่ลองอ่านหรือฟังพร้อมกับคำอธิบายทุกวัน จากนิคกี้และพิพพา กัมเบล -ผู้บุกเบิกอัลฟ่า เริ่มวันนี้เลย!
More
Podobné plány

Zkus se modlit

Sedmidenní vánoční rozjímání

Milost ve vašem příběhu

Radujme se

Porazit sebevědomí a úzkost

Uvědomit si, že Bůh mě miluje

Co je mým účelem? Nauč se milovat Boha a milovat druhé lidi

Svoboda

Zůstávejme v Ježíši: Přinášejme trvalé ovoce (Love God Greatly/Miluj Boha nesmírně)
