พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2023 พร้อมด้วยคำอธิบายจาก นิคกี้และพิพพา กัมเบลUkázka

การทดสอบและการทดลองต่าง ๆ
จอห์น วิมเบอร์ ศิษยาภิบาลชาวอเมริกัน และผู้นำร่องความเคลื่อนไหวเรื่ององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์กลุ่มวินยาร์ด ส่งอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อคริสตจักรทั่วโลก เขาเสียชีวิตในวัย 63 ปี ชีวิตเขาเคยลำบากสุด ๆ เขาเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยพูดกับผมว่า ‘การมีชื่อดังกระฉ่อนเป็นเรื่องสนุกในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่หลังจากนั้นก็เป็นแค่เรื่องน่ารำคาญ’ แต่บางทีสิ่งที่ทำให้เขาเสียใจยิ่งกว่าอื่นใด คือ ความจริงที่ว่าชายสามคนที่สนิทกับเขาที่สุด คนที่เขารักและดูแลเหมือนลูกชายของเขา ล้วนตกลงไปในการทดลองและล้มเหลวด้านศีลธรรม พระเจ้าทรงใช้ จอห์น วิมเบอร์ ในวิธีที่ไม่ธรรมดา แต่เขาและทีมก็เจอกับบททดสอบและการทดลองมากมาย ชีวิตก็เป็นแบบนี้ และพระคัมภีร์ก็ไม่ได้ไร้เดียงสาเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ บ่อยครั้งเราออกจากการรบอันหนึ่ง ก็มีอีกอันที่รออยู่ข้างหน้า นี่เป็นความท้าทายของชีวิตสดุดี 71:1-8
มั่นใจในพระเจ้า
สดุดีบทนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่บ่งชี้ถึงความยากลำบากและการข่มเหง กระนั้นผ่านทางทั้งหมดนั้น ผู้เขียนกล่าวว่า ‘ข้าพระองค์พึ่งพิงพระองค์ตั้งแต่เกิด’ (ข้อ 6) ในสดุดีเราเห็นแง่มุมสำคัญสามประการซึ่งเกี่ยวข้องกับการพึ่งพาพระเจ้า
1. การอธิษฐาน
นี่เป็นคำอธิษฐานที่คุณสามารถนำไปอธิษฐานได้ ‘ข้าวิ่งหนีเอาชีวิตรอดไปยังพระเจ้า…ขอทรงช่วยข้าพระองค์ออกจากเรื่องยุ่งยากนี้’ (ข้อ 1–2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
2. ความอดทน
เมื่อคุณร้องขอความช่วยเหลือ และมอบภาระของคุณไว้ที่พระเจ้า ก้าวต่อไปคือการหวังในพระองค์ด้วยความวางใจ (ข้อ 5) ‘พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์ยังคงไปต่อได้ในยามยากลำบาก...ข้าพระองค์หวังพึ่งพระองค์’ (ข้อ 5–6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
3. สรรเสริญ
คุณสามารถสรรเสริญพระเจ้าได้ทั้งในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังจากสงครามที่คุณต้องเผชิญ ‘ข้าพระองค์จะไม่มีวันหยุดสรรเสริญพระองค์’ (ข้อ 8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่ข้าพระองค์สามารถพึ่งพาพระองค์เมื่อข้าพระองค์มองไปยังอนาคต และการรบรออยู่ข้างหน้า
กิจการอัครทูต 4:1-22
รับความกล้าจากการได้อยู่กับพระเยซู
คริสเตียนที่แท้จริงมักจะถูกนำเข้าสู่การข่มเหงและการทดลองอันใดอันหนึ่ง ตรงจุดนี้เหล่าสาวกถูกคุมขังและถูกทรมาน ซึ่งเท่ากับว่า พวกเขาถูกจับกุมด้วยข้อหาเป็นคริสเตียน (แม้ว่าพวกเขายังไม่ได้ใช้ชื่อนั้นในเวลานั้น) ไม่เคยมีช่วงเวลาไหนเลยในประวัติศาสตร์คริสตจักรที่คริสเตียนไม่ได้ถูกข่มเหงแบบนี้ที่ใดที่หนึ่งในโลก
ไม่ได้เป็นข้อโต้แย้งว่าชายคนนั้นหายดีไหม ในพระกิตติคุณ พระเยซูทรงเป็นผู้ทำการอัศจรรย์ ในกิจการอัครทูต คนธรรมดาสามัญทำการอัศจรรย์ในพระนามของพระเยซู เมื่อถูกถามว่า ‘เจ้าทั้งสองทำการนี้โดยฤทธิ์เดชหรือโดยนามของใคร?’ (ข้อ 7) ด้วยการเต็มล้นในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เปโตรตอบว่า ‘โดยพระนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธที่พวกท่านตรึงไว้ที่กางเขน ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงให้เป็นขึ้นจากตาย’ (ข้อ 10) วันนี้เราสามารถอธิษฐานในวิธีที่ทรงพลังแบบเดียวกัน
เปโตรมีความกล้าที่จะบอกให้กับผู้ไต่สวนของเขาว่าพวกเขามีความผิดเรื่องการตรึงพระผู้ช่วยให้รอดของโลก พวกเขาปฏิเสธและตรึงพระเยซู เปโตรเคยกลัวที่จะยอมรับกับหญิงรับใช้ว่าเขารู้จักกับพระเยซู บัดนี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว เขากล้าประกาศในที่สาธารณะเรื่องพระเยซูและการเป็นขึ้นจากความตาย ในศาลที่ซึ่งพระเยซูถูกไต่สวนและไกลจากที่ซึ่งพระองค์ถูกตรึง 500 หลา
กุญแจคือเปโตรได้พบกับพระเยซูที่เป็นขึ้นจากความตาย และได้ ‘เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ (ข้อ 8) บัดนี้เขารู้ว่า พระเยซูเสด็จมาเพื่อทำอะไร และผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูสถิตอยู่กับเขา และช่วยเขา
เปโตรกล่าวต่อไปว่า ‘ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย เพราะว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้น ไม่โปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า’ (ข้อ 12)
ไม่น่าแปลกใจที่ ‘พวกเขาไม่สามารถละสายตาไปจากทั้งสองได้เปโตรกับยอห์นยืนอยู่ที่นั่นด้วยความมั่นใจ แน่ใจในตัวเองอย่างยิ่งพวกเขาอัศจรรย์ใจอย่างลึกซึ้งเมื่อจำได้ว่าสองคนนี้เคยเป็นคนสามัญซึ่งไม่ได้รับการอบรมทางพระวจนะ หรือการศึกษาอย่างเป็นทางการ พวกเขาจำได้ว่าทั้งสองเคยเป็นสหายของพระเยซู’ (ข้อ 13, พระคัมภีร์ตอนนี้ The Message โดยผู้แปล)
เปโตรและยอห์นอาจไม่ได้มีการศึกษาอย่างเป็นทางการมากนัก แต่พวกเขาเคยผ่านการ ‘ฝึกกับพระเยซู’ พวกเขาเป็นสาวกของพระองค์ พวกเขาเคยผ่าน ‘วิทยาลัยแห่งพระวจนะของพระเจ้า’ และตอนนี้พวกเขาก็กำลังศึกษาใน ‘มหาวิทยาลัยแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์’ พระเจ้าทรงเคยใช้คนมากมายอย่างยิ่งใหญ่ทั้งที่พวกเขามีการศึกษาอย่างเป็นทางการเพียงน้อยนิด
เปโตรและยอห์นถูกข่มขู่และสั่งไม่ให้พูดเรื่องพระเยซูอีก แต่พวกเขาตอบว่า ‘เราไม่สามารถหยุดพูดในสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน’ (ข้อ 20)
เมื่อพวกเขาเผชิญกับบรรดาผู้พิพากษา พวกเขาได้รับความช่วยเหลืออย่างมากจากการที่ทุกคนได้เห็นการอัศจรรย์เกิดขึ้น ชายอายุ 40 ปีที่ได้รับการรักษาได้ยืนอยู่ที่นั่นในฐานะคำพยานที่มีชีวิตของฤทธิ์เดชของพระเยซู (ข้อ 14–21)
ข้าแต่พระเจ้า ขอเติมข้าพระองค์ให้เต็มล้นด้วยพระวิญญาณของพระองค์และให้ข้าพระองค์มีความกล้าในแบบเดียวกับที่เปโตรและยอห์นมีเพื่อข้าพระองค์จะได้ประกาศพระเยซูต่อไป ไม่ว่าจะต้องจ่ายราคาและถูกข่มเหงอย่างไร ขอให้เราเห็นการอัศจรรย์ที่โดดเด่นเหมือนกับที่พระองค์ทรงกระทำผ่านทางสาวกคนแรกของพระองค์
2 ซามูเอล 11:1-12:31
เพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย
ในวัฒนธรรมแบบร่วมสมัย คำว่า ‘คุณนั่นแหละคือคนนั้น’ (12:7) อาจเป็นคำพูดที่ชื่นชม แต่นี่อาจเป็นหนึ่งในคำที่หลอกหลอนที่สุดในพระคัมภีร์ ดาวิดถูกเปิดโปง ท่านถูกล่อลวง และตกลงในความบาป ท่านทำสิ่งนี้แบบลับๆ และคิดว่าจะไม่มีใครจับได้ แต่พระเจ้าทรงมองเห็นทุกสิ่ง จากหนึ่งในข้อพระคัมภีร์ที่ถูกพูดถึงน้อยที่สุด เราได้รับการบอกว่า ‘แต่สิ่งซึ่งดาวิดทรงทำนั้นชั่วร้ายในสายพระเนตรพระยาห์เวห์’ (11:27)
ตรงจุดไหนที่มันพลาดไปเสียหมด?
ประเด็นที่พูดถึงกันบ่อย ๆ คือ ความผิดพลาดแรกของดาวิดที่ยังคงอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม (ข้อ 1) ถ้าเขาได้ออกไปรบในการศึกพร้อมกับประชากร เขาอาจมีแนวโน้มน้อยลงที่จะถูกล่อลวงมากกว่านั่งอยู่ที่บ้านโดยไม่มีอะไรจะทำ จอห์น วิมเบอร์ เคยพูดบ่อย ๆ ว่า ‘เป็นเรื่องยากที่จะนั่งอยู่เฉย ๆ และทำตัวดี’ เรามีโอกาสน้อยลงที่จะตกลงไปในการทดลองเมื่อเรายุ่งเต็มที่และอยู่ในสถานที่ ๆ ควรอยู่
ดาวิดค่อย ๆ ไถลไป เขาเห็น ‘ผู้หญิงสวยจนน่าตะลึง’ คนหนึ่งอาบน้ำอยู่ (ข้อ 2 ,พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ตอนนั้นยังไม่มีความบาปเกิดขึ้น มีแค่การทดลอง อย่างไรก็ตาม เขาน่าจะพ่ายแพ้ต่อการล่วงประเวณีทางความคิดที่เต็มไปด้วยตัณหา เพราะว่าเขาวางแผน ส่งคนไปรับเธอมานอนกับตน และทำบาปมหันต์
แม้ว่าตามมาตรฐานแห่งวันของดาวิด ไม่มีอะไรเทียบได้กับสิ่งที่กษัตริย์คนอื่น ๆ ได้ทำ แต่จากนั้นเขาวางแผนปกปิดซึ่งมันไม่ได้ผลเอาเสียเลย เพราะท้ายที่สุดมันจบลงด้วยการฆาตกรรมอุรียาห์ อย่างที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ความบาปหนึ่งนำไปสู่อีกบาปหนึ่ง และการปกปิดก็แย่ยิ่งกว่าบาปแรก
ดาวิดควรรู้สึกแตกสลายอย่างที่สุดด้วยถ้อยคำของนาธัน ‘ฝ่าพระบาทนั่นแหละคือชายคนนั้น! พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้เจิมตั้งเจ้าไว้...เราช่วยกู้เจ้า...เราได้มอบ...ถ้าเท่านี้ยังน้อยไป เราจะเพิ่มให้มากมายกว่านี้ ทำไมเจ้าดูหมิ่นพระวจนะของพระยาห์เวห์? ทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระองค์?”’ (12:7–9) ไม่เพียงดาวิดจะสร้างเรื่องยุ่งเหยิงไว้อย่างยิ่ง แต่เขายังเป็นคนที่ควรจะรู้ดีกว่าใคร ๆ อีกด้วย
น่าอัศจรรย์ พระเจ้าทรงอภัยให้ดาวิดแม้ว่าความบาปครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก (ข้อ 13) ไม่มีความบาปหรือการล้มลงใดที่ใหญ่เกินกว่าที่พระเจ้าจะอภัยให้ และในสถานการณ์ที่พระคุณของพระเจ้าจะเอื้อมไปไม่ถึง ไม่ว่าคุณเคยทำอะไร พระเจ้าสามารถให้อภัยคุณได้
กุญแจแห่งการรับการทรงอภัยเช่นนั้น คือ ยอมรับความผิดของเรา และกลับใจจากสิ่งที่เราทำ นี่เป็นความแตกต่างอย่างยิ่งระหว่างดาวิด (ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงอภัยเมื่อท่านทำบาป) กับซาอูล (ผู้ที่พระเจ้าไม่ได้ให้อภัย) ในขณะที่ซาอูลพยายามแก้ต่างให้ตนเอง (1 ซามูเอล 15) ดาวิดกลับยอมรับทุกอย่าง ท่านรับสั่งว่า ‘เราได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์แล้ว’ (2 ซามูเอล 12:13) เท่ากับว่าท่านแค่พูดว่า ‘ฉันเสียใจ!’
การให้อภัยไม่ได้เอาผลจากการกระทำของเราออกไป สำหรับดาวิด ผลนั้นใหญ่หลวงนัก ผลลัพธ์ก็คือราชโอรสของพระองค์สิ้นพระชนม์ (ข้อ 13–14) และพระเจ้าทรงเตือนท่านว่า เพราะว่าการกระทำที่รุนแรงของท่าน ‘เพราะฉะนั้นบัดนี้ดาบนั้นจะไม่คลาดไปจากราชวงศ์ของเจ้าตลอดไป’ (ข้อ 10) ผลแห่งความบาปของดาวิดนั้นยาวนาน
กระนั้นก็ตาม นี่ไม่ใช่จุดจบของดาวิด พระเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งพระองค์ แม้ว่าพระราชโอรสของเขาจะตาย แต่ยังมีความหวัง วันหนึ่งพวกเขาจะได้กลับมาพบกันอีก: 'มีแต่เราจะตามเด็กนั้นไป เขาจะไม่กลับมาหาเรา’ (ข้อ 23) ไม่เพียงแค่นั้น แต่พระเจ้าทรงประทานบุตรชายให้ดาวิดอีกคนหนึ่ง ซาโลมอน และ ‘พระยาห์เวห์ทรงรักซาโลมอน’ (ข้อ 24)
เรื่องนี้เป็นคำเตือนและการหนุนใจ เป็นคำเตือนสำหรับเราที่จะรับผิดชอบต่อชีวิตของตัวเราเอง ที่จะวางขอบเขต ที่จะรับความช่วยเหลือตั้งแต่ต้น และเพื่อเฝ้าดู และอธิษฐานว่าเราจะไม่ตกลงสู่การทดลอง
หากคุณล้มลง ให้เป็นเหมือนดาวิดที่ยอมรับความบาปของคุณ สารภาพ กลับใจ โศกเศร้าหากจำเป็น และใช้ชีวิตต่อไป โดยตั้งตารอว่าอะไรที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ในคลังสำหรับคุณ เราล้วนก่อเรื่องเป็นครั้งคราว พระเจ้าทรงให้อภัย พระองค์ทรงฟื้นฟู พระองค์ทรงอวยพรเราอีกครั้ง
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงปกป้องหัวใจข้าพระองค์ และหัวใจของประชากรของพระองค์ทุกคน ที่เราจะสัตย์ซื่อต่อพระองค์
Pippa Adds
2 ซามูเอล 11–12
เราสามารถพยายามจะปกปิดการล้มลงของเรา แต่พระเจ้าทรงมองเห็นทั้งหมดนั้น
References
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)O tomto plánu

การเข้าใจพระคัมภีร์อาจเป็นเรื่องยาก ทำไมไม่ลองอ่านหรือฟังพร้อมกับคำอธิบายทุกวัน จากนิคกี้และพิพพา กัมเบล -ผู้บุกเบิกอัลฟ่า เริ่มวันนี้เลย!
More
Podobné plány

Zkus se modlit

Sedmidenní vánoční rozjímání

Milost ve vašem příběhu

Radujme se

Porazit sebevědomí a úzkost

Uvědomit si, že Bůh mě miluje

Co je mým účelem? Nauč se milovat Boha a milovat druhé lidi

Svoboda

Zůstávejme v Ježíši: Přinášejme trvalé ovoce (Love God Greatly/Miluj Boha nesmírně)
