YouVersion လိုဂို
ရွာရန္ အိုင္ကြန္

พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2023 พร้อมด้วยคำอธิบายจาก นิคกี้และพิพพา กัมเบลနမူနာ

พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2023 พร้อมด้วยคำอธิบายจาก นิคกี้และพิพพา กัมเบล

365 ၏ ေန႔ 95

สิ่งเดียวที่จำเป็น

ผมได้มีประสบการณ์กับพระเยซูครั้งแรกแบบเป็นการส่วนตัวในปี 1974 หลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้ยินการบรรยายหนึ่งโดยชายอายุแปดสิบปีซึ่งหลายปีต่อมาผมก็ยังจำได้แม่น ในหัวข้อ ‘ห้า “ในสิ่งเดียว”' (‘The Five "One Things”’) คำบรรยายของเขาเน้นถึงเหตุการณ์สำคัญ 5 เหตุการณ์ที่แตกออกมาจากคำว่า ‘สิ่งเดียว’ ที่ปรากฏในพระคัมภีร์ (สดุดี 27:4, มาระโก 10:21, ลูกา 10:42, ยอห์น 9:25, ฟิลิปปี 3:13) โดยแต่ละตอนล้วนกล่าวถึงลำดับความสำคัญของพวกเรา เหตุการณ์หนึ่งในห้าเหตุการณ์นั้นอยู่ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่สำหรับวันนี้ด้วยเช่นกัน (ลูกา 10:42) ผมรู้สึกเห็นอกเห็นใจมารธาเป็นอย่างมาก พระเยซูตรัสกับเธอว่า ‘เธอกระวนกระวายและร้อนใจหลายอย่างเหลือเกิน’ (ข้อ 41) มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในชีวิต แต่พระเยซูตรัสว่า ‘สิ่งที่จำเป็นนั้นมีเพียงสิ่งเดียว’ (ข้อ 42) ซึ่งนางมารีย์ได้ให้ความสำคัญอย่างถูกต้อง

สดุดี 41:7-13

ความสำคัญของการทรงสถิตของพระเจ้า

คุณสามารถรับรู้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้าและความพอพระทัยของพระองค์ท่ามกลางความท้าทายทั้งหมดของชีวิต

ดาวิดมีความกังวลและว้าวุ่นใจ เขามีศัตรูเช่นเดียวกับพระเยซู พระองค์ตรัสว่า ‘แม้แต่เพื่อนสนิทผู้ที่ข้าพเจ้าไว้วางใจ ผู้รับประทานอาหารของข้าพเจ้าก็ยกส้นเท้าใส่ข้าพเจ้า’ (ข้อ 9; ดูยอห์น 13:18 ด้วย)

จงมั่นใจเหมือนดาวิดในชัยชนะแห่งความดีที่อยู่เหนือความชั่วร้าย (สดุดี 41:11ข) ทราบไว้เถิดว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยคุณ (ข้อ 11ก) ความปรารถนาอันท่วมท้นของดาวิดคือการที่พระเจ้าจะทรงตั้งเขาไว้ต่อพระพักตร์พระองค์เป็นนิตย์ (ข้อ 12) ให้สิ่งนี้มีความสำคัญสูงสุดในชีวิตคุณ นี่คือสิ่งที่คุณถูกสร้างขึ้นมา การทรงสถิตของพระเจ้าตอบสนองความต้องการส่วนลึกที่สุดของคุณ

ข้าแต่พระบิดา โปรดช่วยข้าพระองค์ในวันนี้ให้เปรมปรีดิ์ไปกับความพอพระทัยและการทรงสถิตของพระองค์ท่ามกลางความท้าทายและความยากลำบากในชีวิต

ลูกา 10:25-11:4

ลำดับความสำคัญของพระเยซู

ลำดับความสำคัญของคุณคืออะไร? การใช้เวลากับพระเยซูเป็นสิ่งที่คุณใช้ความพยายามและบีบลงในตารางงานอันยุ่งเหยิงของคุณหรือไม่? หรือคุณได้กำหนดการใช้เวลากับพระองค์มาเป็นที่หนึ่ง?

มีนักศาสนศาสตร์คนหนึ่งทึ่เป็นผู้เชี่ยวชาญในบทบัญญัติ ได้ถามคำถามที่สำคัญมากกับพระเยซู ซึ่งเกี่ยวกับหนทางสู่ชีวิตนิรันดร์

พระเยซูทรงให้แนวทางกับเราและเป็นวิธีหนึ่งที่เราได้ทำตามในการสนทนากลุ่มย่อยในหลักสูตรอัลฟ่า พระเยซูถามคำถามว่า ‘ท่านอ่านแล้วเข้าใจอย่างไร?' (10: 26,36)

ผู้เชี่ยวชาญบทบัญญัติคนนั้นให้คำตอบที่ถูกต้องว่า ‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่าน ด้วยสุดจิตของท่าน ด้วยสุดกำลังของท่าน และด้วยสุดความคิดของท่าน’ (ข้อ 27) สิ่งนี้ควรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของคุณและลำดับความสำคัญต่อไปของคุณคือการรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

จากนั้นเขาก็ถามคำถามซึ่งแสดงว่าเขาหาช่องโหว่ (ข้อ 29) โดยเขาต้องการให้คำว่า ‘เพื่อนบ้าน' มีความหมายแค่กลุ่มคนในวงจำกัด ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน ญาติ สมาชิกในกลุ่มเดียวกัน และชุมชนทางความเชื่อ

พระเยซูทรงตรัสตอบเขาด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับความอธรรม มีชายคนหนึ่งกำลังเดินทางบนถนนที่มีชื่อเสียงเรื่องความอันตรายแห่งหนึ่ง ระยะทางยาว 17 ไมล์ และเป็นทางลาดลงด้วยความสูงถึง 3,000 ฟุต จากกรุงเยรูซาเล็มถึงเมืองเยรีโค เขากำลังขนสินค้าและของมีค่า และได้กลายเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของความโหดร้ายนี้ เขาถูกปล้น ถูกแย่งชิง ถูกทุบตีและถูกทิ้งให้เกือบตาย (ข้อ 30)

พวกเหล่าผู้นำก็เดินผ่านมา เริ่มจากปุโรหิต (ซึ่งอาจเพิ่งเสร็จกิจในพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม) และตามนั้นคนเลวี (ผู้ช่วยรับผิดชอบศาสนพิธีและการนมัสการ) พวกเขาทั้งคู่ต่าง ‘เห็น' เหยื่อคนนั้น (ข้อ 31–32) แต่ทั้งคู่กลับไม่หยุดช่วย มีสาเหตุที่เป็นไปได้อย่างน้อยสามประการที่ทำให้พวกเขาและเราไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย:

  1. เรายุ่งจนเกินไป
    อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขากำลังรีบ พวกเขาไม่ต้องการมีส่วนร่วมกับสิ่งซึ่งใช้เวลานาน

  2. เราไม่ต้องการให้ตนเองแปดเปื้อนมลทิน
    การสัมผัสศพจะทำให้เป็นมลทินไปเจ็ดวัน (กันดารวิถี 19:11) ในช่วงเวลานั้นพวกเขาจะเข้าพระวิหารไม่ได้ (เลวีนิติ 21:1) ซึ่งอาจจะทำให้พวกเขาหมดหน้าที่ที่พระวิหาร

  3. เราไม่อยากเสี่ยง
    เห็นได้ชัดว่ามีโจรอยู่รอบ ๆ นี่อาจเป็นตัวล่อในการถูกซุ่มโจมตีก็เป็นได้

ผู้ที่กำลังฟังพระเยซูในขณะนั้นคงจะตกตะลึงกับพระเอกของเรื่องนี้ในท้ายที่สุด พระเยซูทรงเลือกบุคคลที่พวกเขาโปรดปรานน้อยที่สุด นั่นคือชาวสะมาเรียที่เป็นคนเผ่าที่ชาวยิวเกลียดชังทั้งทางสังคม การเมืองและความเชื่อ นี่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลต่างเชื้อชาติและความเชื่อที่สำแดงความเมตตากรุณา (ลูกา 10:33) ชาวสะมาเรียยื่นมือเข้าช่วย แม้มันทำให้เขาเสียทั้งเวลา เสียทั้งพลังงานและเงินทอง (ข้อ 34–35)

เรื่องราวที่พระเยซูทรงเล่าให้ฟังแสดงให้เห็นว่าผู้เชี่ยวชาญในบทบัญญัติคนนั้นถามคำถามที่ผิด (ข้อ 29) คำถามที่ถูกต้องไม่ใช่ ‘ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า?’ แต่ ‘ข้าพเจ้าจะเป็นเพื่อนบ้านกับใครได้บ้าง?’ พระเยซูทรงสอนให้เห็นถึงความรักที่ไม่มีเงื่อนไขและไม่มีขีดจำกัด พระเยซูเสด็จมาเพื่อทำลายข้อจำกัดทั้งหมด เหล่ามนุษย์ชาติทั้งหมดคือเพื่อนบ้านของเรา

สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงตรัสไว้ในปาฐกถาเนื่องในวันคริสต์มาส ว่า ‘สำหรับข้าพเจ้าในฐานะคริสเตียนเมื่อพระเยซูทรงตอบคำถามที่ว่า “ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า?" ความหมายที่พระเยซูบอกไว้นั้นชัดเจนแล้ว ทุกคนคือเพื่อนบ้านของเราไม่ว่าจะเชื้อชาติไหน ความเชื่อใด หรือสีผิวอะไรก็ตาม’

‘[เขา] เดินเลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง’ (ข้อ 31ข) เป็นการเปรียบเปรยที่ชวนให้นึกถึงว่า มีคนที่เจ็บป่วยทุกข์ยากมากมายรอบตัวเรา หากคุณเห็นแล้วอย่าเป็นเหมือนปุโรหิตและคนเลวีในคำอุปมาของพระเยซู ที่เดินเลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง แต่ชาวสะมาเรียนั้น ‘สงสาร’ (ข้อ 33ข) เขาดูแลชายที่บาดเจ็บคนนั้น (ข้อ 34ข) และให้เงิน (ข้อ 35) พระเยซูตรัสในตอนท้ายของเรื่องนี้ว่า ‘ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้น’ (ข้อ 37ข)

ให้เราแสวงหาผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือและมีส่วนในการช่วยเหลือพวกเขา คุณจะมีหัวใจเหมือนพระเจ้า คือตอนที่คุณช่วยคนที่ถูกทำร้าย ดึงคนที่ล้มลงและฟื้นฟูคนที่ใจแตกสลาย พยายามทำให้สิ่งนี้มีความสำคัญสูงสุดในชีวิตของคุณ อย่างไรก็ตามเรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของคุณในการทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้

นางมารีย์จัดลำดับความสำคัญของเธอได้ถูกต้อง เธอ ‘นั่งอยู่ใกล้พระบาทของพระเยซูคอยฟังถ้อยคำของพระองค์' (ข้อ 39) เธอตระหนักว่าแม้จะมีเรื่องกวนใจและความกังวลมากมาย แต่ก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการนั่งอยู่ใกล้พระบาทของพระเยซูและฟังพระองค์ สิ่งนี้ควรเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของคุณด้วยเช่นกัน

ส่วนมารธานั้นยุ่งเกินกว่าจะมีความสุขในการใช้เวลากับพระเยซูเมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จมาที่บ้านของเธอ การไม่ใช้เวลาร่วมกับพระเยซูถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตฝ่ายวิญญาณของคุณ ไม่เคยมีใครพูดในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตว่า ‘ฉันหวังว่าฉันจะมีเวลาอยู่ที่ออฟฟิศนานกว่านี้ซักหน่อย’ หลายคนเสียใจที่ไม่ได้ใช้เวลามากขึ้นกับความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดของพวกเขา

คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เรื่องราวต่อไป ลูกาได้บรรยายเกี่ยวกับคำสอนของพระเยซูที่สอนให้สาวกอธิษฐานวิงวอน เราเห็นว่าพระเยซูเป็นแบบอย่างความสำคัญของการใช้เวลากับพระเจ้าในการอธิษฐานและความใจจดใจจ่อที่เป็นตัวจุดประกายให้กับบรรดาสาวกของพระองค์ (11:1) นั่นคือบริบทของพระองค์ที่จะสอนพวกเขาถึง ‘คำอธิษฐานของพระเจ้า'

คำอธิษฐานเริ่มต้นด้วยความใกล้ชิดสนิทสนมกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ด้วยการอธิษฐานเอ่ยพระนาม ‘พระบิดา' แต่ความสัมพันธ์กับพระเจ้าควรส่งผลต่อชีวิตที่เหลือของคุณเช่นกัน ให้เราอธิษฐานเผื่อการจัดเตรียมประจำวัน (ข้อ 3) โดยอธิษฐานว่า ‘ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่’ (ข้อ 2) และระลึกถึงบาปที่คุณจำเป็นต้องให้ยกโทษให้ผู้อื่นหรือได้รับการยกโทษ (ข้อ 4)

มีหลายวิธีในการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับพระเยซู ไม่ว่าคุณจะทำด้วยวิธีใดก็ตาม จำเป็นต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งในชีวิตอยู่เสมอ

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้มีความสุขกับการทรงสถิตของพระองค์ ขอให้ข้าพระองค์มีความรักและความกล้าหาญที่จะดึงคนที่ล้มลงขึ้นมา ฟื้นฟูใจที่แตกสลาย และช่วยเหลือผู้ที่ถูกทำร้ายมา

เฉลยธรรมบัญญัติ 2:24-4:14

ลำดับความสำคัญของความสัมพันธ์

โมเสสได้บันทึกว่าพระเจ้าทรงประทานแผ่นดินให้พวกเขาอย่างไรและยังได้ประทานพระบัญญัติแก่พวกเขาอีกด้วย แต่สิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับประชากรของพระเจ้าไม่ใช่แผ่นดินหรือธรรมบัญญัติ แต่เป็นความรักของพระเจ้า: ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราสถิตใกล้เรา ในทุกสิ่งที่เราร้องทูลต่อพระองค์’ (4:7)

นอกจากนี้ดูเหมือนว่าจะมีความเชื่อมโยงกันอย่างเจาะจงระหว่างวิธีที่ประชาชนของพระเจ้าได้รับการชี้แนะให้ดำเนินชีวิตกับผลกระทบที่พวกเขามีต่อชนชาติอื่น ๆ (ข้อ 6) พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้พวกเขาเป็นแบบอย่างที่เห็นได้ชัดเจนทั้งในด้านพระลักษณะของพระเจ้าสูงสุดที่พวกเขาเคารพบูชา และด้านคุณภาพของความชอบธรรมทางสังคมที่เป็นตัวเป็นตนในชุมชนของพวกเขา กล่าวอีกนัยหนึ่งการทำตามตัวอย่างที่ดีของชาวสะมาเรียมีผลต่อการประกาศข่าวประเสริฐ

ธรรมบัญญัติเป็นการแสดงออกถึงความรักและความปรารถนาของพระเจ้าที่จะใกล้ชิดกับประชาชนของพระองค์ นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาได้รับการกระตุ้นเตือนเสมอว่า ‘แต่จงระวังตัว และรักษาจิตวิญญาณของตนให้ดี เกรงว่าท่านจะลืมสิ่งที่นัยน์ตาได้เห็นนั้น และเกรงว่าสิ่งเหล่านั้นจะสูญไปจากใจของท่านตลอดชีวิตของท่าน จงทำให้ลูกและหลานของท่านทราบเรื่องเหล่านี้’ (ข้อ 9) ธรรมบัญญัตินั้นเราได้รับในบริบทของพันธสัญญา (ข้อ 13) เริ่มต้นด้วยความมุ่งมั่นของพระเจ้าที่มีต่อเราและความรักของพระองค์ที่มีต่อเรา

ในทำนองเดียวกันพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เริ่มต้นด้วยพันธสัญญาของพระเจ้าผ่านการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูและผ่านความรักของพระเจ้าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์หลั่งไหลเข้ามาในหัวใจของคุณ คุณสามารถเข้าถึงการทรงสถิตของพระเจ้าได้อย่างถาวรนิรันดร์ (เอเฟซัส 2:18)

ข้าแต่พระบิดา โปรดช่วยข้าพระองค์ให้ติดสนิทกับพระองค์ ให้อยู่ในการทรงสถิตกับพระองค์ นั่งลงใกล้พระบาทของพระเยซู ฟังคำสอนและนำออกไปปฏิบัติต่อผู้อื่น

Pippa Adds

ลูกา 10:38–42

ฉันเห็นใจทั้งนางมารีย์และนางมารธา ฉันเข้าใจความรู้สึกของการพยายามเตรียมอะไรบางอย่างในขณะที่ผู้คนกำลังนั่ง ‘จดจ่ออยู่กับชีวิตฝ่ายวิญญาณ’ อยู่รอบ ๆ และไม่ทำอะไรเลยทั้งที่ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ แต่ฉันก็มีประสบการณ์หลายครั้งเช่นกันเมื่อฉันได้นั่งอยู่เฉย ๆ ในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังวิ่งไปรอบ ๆ ทำงานอย่างหนัก ฉันรู้สึกประทับใจกับคำพูดของ ไบรอัน ฮิวส์ตัน ที่กล่าวว่า ‘ภาระและการพักสงบ’ ทั้งสองอย่างมีความจำเป็นในชีวิต

References

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

ဤအစီအစဥ္အေၾကာင္း

พระคัมภีร์ในหนึ่งปี 2023 พร้อมด้วยคำอธิบายจาก นิคกี้และพิพพา กัมเบล

การเข้าใจพระคัมภีร์อาจเป็นเรื่องยาก ทำไมไม่ลองอ่านหรือฟังพร้อมกับคำอธิบายทุกวัน จากนิคกี้และพิพพา กัมเบล -ผู้บุกเบิกอัลฟ่า เริ่มวันนี้เลย!

More